tag:blogger.com,1999:blog-92164570196436890132024-03-05T19:56:37.506-08:00sapyen.naPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.comBlogger29125tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-74928097569485678262012-01-05T06:57:00.001-08:002012-01-05T06:57:54.204-08:00
พ.ต.อ.ณรงค์ ทรัพย์เย็น
Narong sapyen<br />Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-35608032158125515422012-01-05T06:23:00.001-08:002012-01-05T06:24:02.158-08:00TestPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-34814162316159985182012-01-05T06:21:00.001-08:002012-01-05T06:21:51.273-08:00<div class="separator"style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEga0_k-uLIBOXhFMwEFDuv7k__fhxg0-tNvBCU6JGB5mBq16ga-08Bh7CSCV3ArCZMEz6DgGNRRSAn6eiXxtTI4y4dfWBl6CytgPNoCAY0LKdcB4F2oOgxIwo8THxqaEygvph7L47gG8zO2/s640/blogger-image--270965845.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEga0_k-uLIBOXhFMwEFDuv7k__fhxg0-tNvBCU6JGB5mBq16ga-08Bh7CSCV3ArCZMEz6DgGNRRSAn6eiXxtTI4y4dfWBl6CytgPNoCAY0LKdcB4F2oOgxIwo8THxqaEygvph7L47gG8zO2/s640/blogger-image--270965845.jpg" /></a></div><div class="separator"style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr6q7syeJReZEoxbJxtVjoc53tSYML8uFNVvLItXm_KT7bdLOKdfcke2KdzGPgZc2zH5UfnLcaVUQ2T-I0z59YicPbeGDzKQbbHDCV9D4DGZt3UkU3J3WSPtKycEg_Azmw5F93siq9jbA1/s640/blogger-image-2094669745.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr6q7syeJReZEoxbJxtVjoc53tSYML8uFNVvLItXm_KT7bdLOKdfcke2KdzGPgZc2zH5UfnLcaVUQ2T-I0z59YicPbeGDzKQbbHDCV9D4DGZt3UkU3J3WSPtKycEg_Azmw5F93siq9jbA1/s640/blogger-image-2094669745.jpg" /></a></div><div class="separator"style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDcMFFbcVa6mJkr00WqCsChYou5FRXYS_m2LfsjsBDnreaoezXG7Sxc2INCR6we4eE4rtJQ8V3K95qNTOg7aysDV1cbtidaFD4J-3lNc_xPoL_2cDCvN93hO2MYSmJuc9Tx8kRzQTl6re_/s640/blogger-image--871410222.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDcMFFbcVa6mJkr00WqCsChYou5FRXYS_m2LfsjsBDnreaoezXG7Sxc2INCR6we4eE4rtJQ8V3K95qNTOg7aysDV1cbtidaFD4J-3lNc_xPoL_2cDCvN93hO2MYSmJuc9Tx8kRzQTl6re_/s640/blogger-image--871410222.jpg" /></a></div>Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0Nong Pla Mo Nong Pla Mo13.793983 99.790218tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-41080635689214730612011-02-01T01:16:00.000-08:002011-02-01T01:26:04.380-08:00เอกสารประกอบคำบรรยาย วิชา ปัญหาอาชญากรรมและสังคม(PAL 708)เอกสารประกอบคำบรรยาย วิชา ปัญหาอาชญากรรมและสังคม(PAL 708) <br />สามารถดาวน์โหลดได้ที่ <p><a href="http://www.police7.go.th/Police7_Website/th/police7_institute/showData.php?a=ID&dtt=knowledge&topic=179" target="_blank">เอกสารประกอบคำบรรยาย</a></p>Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-88250711779213910662011-02-01T00:56:00.000-08:002011-02-01T01:15:48.875-08:00Course Outline PAL 708 ปัญหาอาชญากรรมและสังคมวก 05<br />วิทยาลัยพิษณุโลก<br /> โครงการสอน (Course Outline)<br />รหัสวิชา PAL 708 ชื่อวิชา ปัญหาอาชญากรรมและสังคม จำนวน 3 หน่วยกิต<br />ภาคการศึกษาที่ 2 วันเวลา วันที่ 6 ,13.,20,27 กุมภาพันธ์ 2554 ห้องเรียน ศูนย์ศึกษาโรงเรียนวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จังหวัดนครปฐม<br />อาจารย์ผู้สอน พันตำรวจเอก ณรงค์ ทรัพย์เย็น<br />คุณวุฒิ รป.บ.(ตร.),นบ.,สค.ม.(อาชญาวิทยา และงานยุติธรรม) <br />ชั่วโมงประจำสำนังาน (Office Hour) –<br />สถานที่ติดต่อ 21/1 หมู่ 5 ต.หนองปลาหมอ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี<br />คำอธิบายรายวิชา <br /> ศึกษาปัญหาอาชญากรรมและปัญหาทางสังคมต่าง ๆ ที่ครอบคลุมไปถึงสาเหตุและรูปแบบ<br />การเกิดปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ การเมือง<br />และสังคม โดยมุ่งเน้นการเกิดปัญหาในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็น<br />การสังเคราะห์เพื่อให้ได้แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน<br />วิชาบังคับก่อน –<br />วัตถุประสงค์ <br /> 1.เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ ประเภทของอาชญากรรม ผลกระทบ และสาเหตุการเกิด<br /> 2.เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี แนวทางการป้องกัน แก้ไขปัญหาอาชญากรรม <br /> 3.เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการนำความรู้เกี่ยวกับการป้องกันปัญหาอาชญากรรมไปปรับใช้ในการทำงาน และชีวิตประจำวัน ทั้งในระดับครอบครัว และชุมชน<br />กิจกรรมการเรียนการสอน<br /> 1.บรรยายโดยอาจารย์ผู้สอนให้ทราบถึงทฤษฎี หลักการ แนวทาง กรณีศึกษา<br /> 2.มอบหมายงานให้ผู้เรียนไปประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการออกแบบ ดำเนินการป้องกัน แก้ไขปัญหาอาชญากรรม แล้วนำมาอภิปราย ตอบข้อซักถาม ในชั้นเรียน <br /> 3.ทดสอบความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่ได้รับ กับการแก้ปัญหาในแบบทดสอบ<br />สื่อการสอน <br /> 1.เครื่องฉายวิดิโอ โปรเจ็คเตอร์<br /> 2.เครื่องคอมพิวเตอร์ <br /> การประเมินผล <br /> 1.การเข้าชั้นเรียน ร้อยละ 10<br /> 2.การมีส่วนร่วมในการบรรยาย ตั้งคำถาม ตอบข้อซักถาม ในชั้นเรียน ร้อยละ 10<br /> 3.ส่งผลงานที่ได้รับมอบหมายร้อยละ 10 <br /> 4.การบรรยาย อภิปรายผลงานที่ได้รับมอบหมาย ร้อยละ 20 <br /> 5.ทดสอบแบบปรนัย และเติมคำโดยให้เปิดตำราตอบ (Open book Exam) ร้อยละ 50<br /> รวม 100 คะแนน 100 %<br />ตำราและเอกสารประกอบการสอน<br />1.เอกสารประกอบคำบรรยายที่อาจารย์ผู้สอนแจก โหลดได้จากหัวข้อ เอกสารบรรยาย ปัญหาอาชญากรรม ของ พ.ต.อ.ณรงค์ จาก บล็อค sapyen.na.blogspot.com<br />2.หนังสือคู่มือการป้องกันอาชญากรรมโดยการออกแบบสภาพแวดล้อม ของ กองวิจัย และพัฒนา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฉบับพิมพ์ปี พ.ศ. 25501<br />3.หนังสือ Crime Analysis for Problem Solver in 60 small Steps ของ U.S. Department of Justice Office of Community Oriented Policing Services .<br />4.หนังสือ Reducing Fear of CrimeStrategies for Police ของ U.S. Department of Justice<br />Office of Community Oriented Policing Services<br /><br />หนังสืออ่านนอกเวลา <br />1.หนังสือ ซีอุย..มนุษย์กินคน ของ ท่านขุน บุญราศรี สำนักพิมพ์ มวลมิตร กรุงเทพฯ 2545<br />2.หนังสือ จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน ของ ดร. อนุสร จันทรพันธ์ และ ดร.บุญชัย โกศลธนากุล อัมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง กรุงเทพฯ 2546<br /><br />หัวข้อและกำหนดการสอน<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxpbLRuwJSKlnDo_BxH7dcd0UPWY4E_KZafCCwjDp_xsHhghBTc8Rn3LRIlVvT4WzucYIYQ93DgFn1P5AGyyhFyajJE2knMbNEfu_Be6-5TYhDA9bUuTGqZTlkDQNfZJENSZRXiBo9THIX/s1600/timeline.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 311px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxpbLRuwJSKlnDo_BxH7dcd0UPWY4E_KZafCCwjDp_xsHhghBTc8Rn3LRIlVvT4WzucYIYQ93DgFn1P5AGyyhFyajJE2knMbNEfu_Be6-5TYhDA9bUuTGqZTlkDQNfZJENSZRXiBo9THIX/s320/timeline.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5568646984330418818" /></a><br /><br />วันเวลาสอบ 27 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 13.00-14.00 น.<br />ข้อแนะนำนักศึกษา<br />1.ติดต่อ ส่งงาน การบ้าน ถึง อาจารย์ได้ที่ sapyen@hotmail.com โทร 081 -9811886 หลังเวลา 17.00 น.<br />2.เอกสารตำราเปิดดู และโหลดได้จาก บล็อก sapyen.na.blogspot.com<br />--------------------------------------------------------------------------Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-1495755111782014752010-07-21T03:07:00.000-07:002010-07-21T03:09:14.300-07:00แนวทางจัดตั้งชุดฟื้นฟูเยียวยา (Family liaison officer)ชุดฟื้นฟูเยียวยา (Family Investigation Liaison Officer: FILO)<br /> หน่วยตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียได้จัดชุดตำรวจฝ่ายสืบสวนทำหน้าที่ประสานงานญาติผู้เสียหายหรือเหยื่อ เรียกว่า “Family Investigation Liaison Officer: FILO” ส่วนตำรวจ นครบาลมหานครลอนดอน หรือสก๊อตแลนด์ยาร์ด ใช้ชื่อว่าชุด “Family Liaison Officer: FLO” ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้<br /> 1. เป็นทั้งตำรวจในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบแต่ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่ทักษะการสืบสวนด้วย เพื่อให้เป็นที่ไว้วางใจแก่ญาติผู้เสียหาย<br /> 2. จะได้รับมอบหมายจากพนักงานสืบสวนผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบคดี <br />(Senior Investigative Officer :SIO) ให้ทำหน้าที่เป็นชุดประสานงานระหว่างญาติกับตำรวจในคดีสำคัญ เช่น คดีฆาตกรรม หรือคนหาย<br /> 3. ตำรวจชุดนี้จะมีจำนวนกำลังพลตามแต่ความซับซ้อนหรือใหญ่ของคดี และใช้ในการรวบรวมข่าวสารหรือพฤติกรรมของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งอาจเป็นผู้ต้องสงสัยด้วยในคราวเดียวกัน<br /> 4. ตำรวจชุดนี้ต้องมีทักษะการสื่อสารหรือปฏิสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งตำรวจชุดนี้จะเป็นบุคคลที่คอยปลอบใจญาติผู้เสียหาย หรือเป็นไหล่ที่ให้ญาติผู้เสียหายซบร้องไห้ (Shoulder to cry on ) <br /> 5. บางครั้งตำรวจชุดนี้จะช่วยเหลือในการให้ข่าวแก่สื่อมวลชนในกรณีที่ญาติผู้เสียหายไม่ต้องการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และอนุญาตให้ตำรวจชุดนี้ให้สัมภาษณ์แทน<br /> 6. ตำรวจชุดนี้จะช่วยเหลือญาติผู้เสียหาย หรือเหยื่ออาชญากรรม หรือญาติบุคคลสูญหายในการขอรับค่าตอบแทน ผู้เสียหาย การขอการคุ้มครองพยานจากตำรวจและหน่วยเกี่ยวข้อง การจัดการศพหรือขอรับศพจากหน่วยนิติเวช หรือป้องกันการนำศพไปเป็นเงื่อนไข (แห่ศพประท้วง)<br /> 7. ในกรณีภัยพิบัติจะคอยช่วยเหลือจัดการเกี่ยวกับพิสูจน์เอกลักษณ์ การขอรับเงินประกันภัยหรือเงินช่วยเหลือ<br /> 8. ในกรณีการก่อความไม่สงบหรือที่การตาย หรือการสูญหายเป็นเงื่อนไขทางการเมือง ตำรวจชุดนี้จะสร้างความเข้าใจหรือลดเงื่อนไขการนำไปสู่ความไม่สงบ<br /> ตำรวจออสเตรเลียได้นำไปใช้ในกรณีเกิดเหตุสึนามิในประเทศไทย ปี พ.ศ.2547 สึนามิที่ซามัว คนออสเตรเลียเสียชีวิตเมื่อเดือน พ.ย. ค.ศ.2008 ที่เมืองมุมไบ อินเดีย และการช่วยเหลือประสานประชาชนที่ต้องถูกอพยพออกจากสลัมในปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายจากการปฏิบัติการ Operation Neath ที่เมืองซิดนีย์ เมื่อปี ค.ศ.2008<br />การฝึกอบรม<br /> ควรใช้ชุดชุมชนมวลชนสัมพันธ์ซึ่งมีประจำอยู่ทุกสถานีตำรวจ อย่างน้อยชุดละ 8-12 นาย เมื่อมีเหตุที่ต้องใช้ให้แปรสภาพเป็นชุดฟื้นฟูเยียวยา โดยทำหน้าที่เช่นเดียวกับชุด Family Investigation Liaison Officer: FILO โดยในการเตรียมการควรฝึกอบรม ดังนี้<br /> 1. พ.ร.บ.และระเบียบเกี่ยวกับค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา<br /> 2. การคุ้มครองพยาน<br /> 3. การรวบรวมพยานหลักฐาน และขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนชั้นอัยการ ชั้นศาล การให้การเป็นพยานชั้นตำรวจ อัยการ และศาล และระเบียบการแจ้งความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนของ ตร.<br /> 4. การชันสูตรพลิกศพ หรือพิสูจน์เอกลักษณ์ และการดำเนินคดีเกี่ยวกับการไต่สวน หรือดำเนินการชั้นศาลเกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพ<br /> 5. ทักษะการตั้งใจรับฟัง (Active Listening Skill)<br /> 6. ศาสนพิธีเกี่ยวกับงานศพ พุทธ อิสลาม คริสต์<br /> 7. การต่อต้านการก่อความไม่สงบ<br /> 8. วิชาว่าด้วยเหยื่ออาชญากรรม (Victimology)<br /> 9. สิทธิของผู้เสียหายตามปฎิญญาสากลของสหประชาชาติ<br /><br />**********************Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-77774709168200823122010-07-21T03:03:00.000-07:002010-07-21T03:07:39.116-07:00แนวคิดการจัดชุดเคลื่อนที่เร็วต่อต้านการก่อความไม่สงบในเมืองชุดเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Field Force : MFF)<br /> <br /> เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วระดับหมวด มีลักษณะเป็นชุดปฏิบัติการเอนกประสงค์ในการแก้ไขปัญหาก่อความไม่สงบในเมือง ซึ่งหน่วยตำรวจในมลรัฐแคลิฟลอเนียร์ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการว่าด้วยมาตรฐานการจัดการเหตุวิกฤติโดยผู้บังคับใช้กฎหมายได้ให้ความเห็นชอบและจัดตั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1997 <br /> โดยเป็นการสนธิกำลังจัดเป็นชุดดังกล่าวนี้ขึ้น และใช้ในภารกิจต่อต้านการก่อความไม่สงบหรือการชุมนุมประท้วง เหตุภัยพิบัติและเหตุภาวะฉุกเฉินต่างๆ ในเมือง ในสถานการณ์เมื่อระบบการรักษาความสงบเรียบร้อยของตำรวจโดยตำรวจท้องที่กระทำได้ไม่เต็มที่หรือมีขีดจำกัดในเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้น การบริการหรือการปฏิบัติของตำรวจท้องที่ไม่สามารถทำได้เต็มที่ เช่น แผ่นดินไหว ไฟฟ้าดับ หรือสถานีตำรวจถูกเผา หรือปิดล้อม<br /> 1. การจัดเฉพาะกิจ (56 นาย ส. 1, ป.55)<br /> 1.1 ผบ.ชุด 1 นาย (รอง สว.- สว.)<br /> 1.2 รองหัวหน้าชุด 1 นาย (ด.ต.)<br /> 1.3 ผบ.หมู่ 4 นาย (จ.ส.ต. – ด.ต.)<br /> 1.4 ผู้บังคับรถ ชั้นประทวน 12 นาย<br /> 1.5 พลขับ 14 นาย (ชั้นประทวน)<br /> 1.6 เจ้าหน้าที่บันทึกวิดีโอ 2 นาย (ป.)<br /> 1.7 เจ้าหน้าที่ชุดต่อต้านการซุ่มยิง 2 นาย (ป.)<br /> 1.8 ตำรวจประจำชุด 24 นาย (ป.)<br /> 1.9 ตำรวจประจำรถควบคุมผู้ต้องหา 4 นาย (2 คันๆ ละ 2 คน หากเป็นไปได้ควรเป็นผู้หญิง คันละ 1 คน)<br /> 2. อุปกรณ์มาตรฐานขั้นต่ำ<br /> 2.1 รถยนต์สายตรวจ 4 ประตู เอนกประสงค์ 14 คัน<br /> 2.2 วิทยุแบบมือถือ 16 เครื่อง พร้อมแบตเตอรี่สำรอง<br /> 2.3 อาวุธปืนพกประจำกายขนาด 9 มม. ประจำตัวตำรวจ 1 นาย/1 กระบอก (เว้นเจ้าหน้าที่ประจำรถควบคุมผู้ต้องหา) จำนวน 52 กระบอก<br /> 2.4 ปืนลูกซองประจำรถยนต์สายตรวจ 1 กระบอก/คัน จำนวน 14 กระบอก<br /> 2.5 กระสุนปืนลูกซอง 350 นัด<br /> 2.6 กระสุนปืนลูกซองแบบกระสุนยาง 140 นัด<br />-2-<br /><br /> 2.7 กระสุนขนาด 9 มม. จำนวน 700 นัด<br /> 2.8 อุปกรณ์ฉุกเฉิน<br /> 2.8.1 ถังดับเพลิงแบบยกได้ (5 ปอนด์) 1 ถัง/รถสายตรวจ 1 คัน จำนวน 14 ถัง<br /> 2.8.2 ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น 1 ชุด<br /> 2.8.3 กระบองไฟเรืองแสงให้สัญญาณจราจร จำนวน 52 อัน<br /> 2.8.4 ผ้าห่มใช้ดับไฟ 2 ผืน/รถ 1 คัน จำนวน 28 ผืน<br /> 2.9 อุปกรณ์ทางยุทธวิธี<br /> 2.9.1 กล้องส่อง 2 ตา จำนวน 2 อัน<br /> 2.9.2 เครื่องเปล่งเสียงแบบเคลื่อนที่ 1 ชุด (ไม่รวมที่ติดกับรถสายตรวจ)<br /> 2.9.3 สายกั้นที่เกิดเหตุสำหรับตำรวจ 5 ชุด<br /> 2.10 รถยนต์บรรทุกผู้ต้องหา 2 คัน<br /> 2.11 สายรัดข้อมือผู้ต้องหา 176 เส้น<br /> 2.12 ชุดกล้องถ่ายวิดีโอ 2 ชุด พร้อมถ่านสำรอง<br /> 2.13 ปืนเล็กยาว 52 กระบอก พร้อมกระสุน 60 นัด/กระบอก<br /> 2.14 อุปกรณ์ไม่ถึงตายสำหรับควบคุมฝูงชน<br /> 2.14.1 หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ 56 อัน<br /> 2.14.2 เครื่องยิงแก๊สน้ำตา 24 กระบอก, กระสุนแก๊สน้ำตา 12 นัด/กระบอก<br /> 2.14.3 แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง 120 ลูก<br /> 2.14.4 ระเบิดเสียง 600 ลูก (150 ลูก/หมู่)<br /> 3. ขีดความสามารถ/ขีดจำกัด<br /> 3.1 เป็นรถสายตรวจ 14 คัน โดย 2 คัน เป็นรถ หน.ชุด และ รอง หน.ชุด ส่วนอีก 12 คัน ประกอบกำลัง 4 นาย/คัน เป็นสายตรวจรักษาความสงบในพื้นที่ที่มีเหตุจลาจลหรือก่อความ ไม่สงบ<br /> 3.2 เป็นจุดอำนวยการและควบคุมการจราจรได้ประมาณ 20 จุดพร้อมกัน<br /> 3.3 ตั้งจุดตรวจได้ 12 จุดพร้อมกันในพื้นที่ก่อความไม่สงบ<br /> 3.4 รักษาความปลอดภัยและระวังป้องกันที่ตั้ง หรือสาธารณูปโภคสำคัญ<br /> 3.5 จัดรูปขบวนควบคุมฝูงชนได้ 4 หมู่ ดำเนินกลยุทธ์ควบคุมฝูงชนและใช้อาวุธพิเศษควบคุมฝูงชนได้ แต่ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยชุดตนเองได้<br />-3-<br /><br /> 3.6 จัดรูปขบวน 3 หมู่ ควบคุมฝูงชน และใช้อาวุธพิเศษควบคุมฝูงชนพร้อมทั้งรักษาความปลอดภัยชุดตนเองได้<br /> 3.7 เคลื่อนที่เร็วแก้ปัญหาเหตุก่อความไม่สงบได้ภายในพื้นที่<br /> 3.8 ดำเนินการจับกุมขนาดใหญ่ได้ ซึ่งสามารถจับกุมแกนนำและผู้ชุมนุมพร้อมกันได้จำนวนหนึ่ง<br /> 3.9 มีขีดความสามารถต่อต้านพลซุ่มยิงได้<br /> 3.10 มีขีดจำกัดในการปฐมพยาบาลหรือส่งกลับสายการแพทย์ <br /> 4. ระยะเวลาเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่<br /> 4.1 สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 12 ชม. รวมถึงเวลาเดินทางจากที่ตั้งถึงที่ปฏิบัติงาน หรือเตรียมพร้อม<br /> 4.2 ควรให้มีเวลาพักหรือเตรียมการอย่างน้อย 12 ชม./ผลัด<br /> 5. อาวุธประจำกายของชุดเคลื่อนที่เร็ว<br /> 5.1 ปืนพกประจำกายขนาด 9 มม. พร้อมกระสุน 1 อัตรายิง<br /> 5.2 อุปกรณ์พื้นฐานของสายตรวจรถยนต์ติดกับเข็มขัดสนาม<br /> 5.3 หมวกควบคุมฝูงชนพร้อมกระบังหน้า<br /> 5.4 ดิ้วหรือกระบองสั้นแบบยืดได้ ขนาด 26 นิ้ว พร้อมที่แขวน<br /> 5.5 เสื้อเกราะอ่อน<br /> 5.6 ไฟฉาย<br /> 5.7 สายรัดข้อมือผู้ต้องหา 4 เส้น/ตำรวจ 1 นาย<br /> 5.8 สเปรย์พริกไทย 1 กระป๋อง/นาย<br /><br />*********************************<br /><br />ที่มา : 1999 Law Enforcement Guide for Emergency Operations , Governor’s Office Of Emergency Services, State Of California. หน้า 53-64 <br />สืบค้นจาก http://www.oes.ca.govPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-2193572912206610952010-07-21T03:01:00.000-07:002010-07-21T03:03:14.247-07:00ตัวอย่างโครงการตำรวจชุมชนลานทองโครงการ ตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง<br /><br />1. หลักการและเหตุผล<br /> กล่าวโดยทั่วไป หมู่บ้านลานทอง หมู่ 8 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นหมู่บ้านที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น ประมาณ 4,000 คน จำนวน 1,200 หลังคาเรือน มีถนนและซอย จำนวน 40 ซอย มี โรงเรียน อนุบาล 1 แห่ง อยู่ภายในหมู่บ้าน มีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้แก่ถนนติวานนท์<br /> สถานภาพอาชญากรรม ปรากฏว่าได้มีคนร้ายเข้าทำการลักทรัพย์ในเคหสถานและมีเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ รวมทั้งปัญหาทะเลาะวิวาท ทำร้ายซึ่งกันและกันบ่อยครั้งเกิดขึ้นใน หมู่บ้านลานทองซึ่งจากสภาพอาชญากรรมดังกล่าว เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพการแตกความสามัครีกันของประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจในวิธีการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและของเพื่อนบ้าน ถึงแม้หมู่บ้านนี้จะมีการรวมตัวกันของ คณะกรรมการหมู่บ้าน จำนวน 40 คน ก็ตาม แต่คณะกรรมการหมู่บ้านเหล่านั้นก็ยังขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม ซึ่งมุ่งเน้นให้ประชาชนในหมู่บ้านได้ร่วมมือกันจัดสภาพแวดล้อมในบ้านของตนเองและร่วมมือกันดูแลถนน ตรอก ซอย ในหมู่บ้านไม่ให้คนร้ายมาใช้พื้นที่ดังกล่าวประกอบอาชญากรรมซึ่งมักปรากฏเสมอมาว่าประชาชนมักจะตำหนิติเตียนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่โดยเฉพาะตำรวจสายตรวจ ฝ่ายสืบสวน ฝ่ายสอบสวนเสมอว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้นและตำรวจไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้<br /> เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประชาชนและตำรวจ รวมทั้งการตอบสนองความต้องการของประชาชนด้านการบริการ ด้านความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ จึงมีความเหมาะสมและมีความจำเป็นที่ต้องจัดตั้ง ที่ทำการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้หมดไป<br /> <br />2. ประวัตถุประสงค์<br /> เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจให้สูงขึ้นในด้านการให้บริการ ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ โดยเฉพาะเน้นความรวดเร็วในการเข้าไประงับเหตุ การบริการประชาชน ณ ที่ทำการตำรวจชุมชนในด้านต่าง ๆ และการเยี่ยมเยียนบ้านเรือนประชาชน และลดปัญหาอาชญากรรมโดยดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม<br /><br /><br />- 2 -<br /><br />3. เป้าหมาย<br /> 3.1 จัดให้มีการบริการที่ดีในรูปแบบต่าง ๆ ณ ที่ทำการตำรวจชุมชน<br /> 3.2 เพิ่มมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในหมู่บ้านลานทอง<br /> 3.3 จัดให้มีการประชาสัมพันธ์ทั้งในและนอกที่ทำการตำรวจชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ <br /> 3.4 ใช้มาตรการชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ เข้าดำเนินการต่อประชาชนในหมู่บ้านลานทอง<br /> 3.5 เน้นการออกไประงับเหตุของตำรวจชุมชนประจำหมู่บ้าน ตั้งใช้เวลาไม่เกิน 3 – 5 นาที บริการฉันท์มิตรเสมือนญาติ<br /> 3.6 เน้นการบริการรับแจ้งเหตุ แจ้งเอกสารหาย แจ้งเป็นหลักฐานและอื่น ๆ ด้วยการให้บริการฉันท์มิตรเสมือนญาติ<br /> 3.7 เน้นการเยี่ยมเยียนบ้านเรือนประชาชนหรือสร้างความเข้าใจอันดีงาม สร้างความพึงพอใจ ทำให้เกิดความประทับใจ และดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม<br /> 3.8 ลดปัญหาอาชญากรรมในหมู่บ้านโดยดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปราม<br /><br />4. วิธีดำเนินการ<br /> 4.1 แนวความคิดในการดำเนินงาน<br /> 4.1.1 ร่วมประชุมปรึกษาหารือกับคณะกรรมการบ้านลานทอง เพื่อสร้างความเข้าใจในวิธีดำเนินงานจัดตั้งที่ทำการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง โดยขอความร่วมมือในการจัดหาบ้านเช่าให้ 1 หลัง เพื่อดัดแปลงเป็นที่ทำการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง (Lanthong Neighborhood Police Post) และใช้เป็นที่พักอาศัยของตำรวจด้วย รวมทั้งการจัดเงินเป็น สวัสดิการตอบแทนแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนาย และช่วยจัดหาสิ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในที่ทำการตำรวจชุมชนตามสมควร ตามความสมัครใจ<br /> 4.1.2 คัดเลือกตำรวจระดับนายสิบหรือพลตำรวจสองนาย ซึ่งเป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะดี มนุษย์สัมพันธ์ และเต็มใจปฏิบัติหน้าที่ตำรวจชุมชน (Policing) ส่งตัวเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรตำรวจชุมชน สัมพันธ์ของ ตร.ภูธรภาค 1 เพื่อปรับสภาพจิตใจและแนวความคิดก่อนที่จะส่งตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ตำรวจชุมชนประจำที่ทำการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง<br /><br />- 3 -<br /><br /> 4.2 ขั้นตอนในการดำเนินการ<br /> 4.2.1 ปรับปรุงบ้านเช่าให้มีลักษณะเป็นที่ทำการตำรวจชุมชน ภายในที่ทำการตำรวจชุมชน จะประกอบด้วย <br /> 4.2.1.1 สัญลักษณ์ของที่ทำการตำรวจชุมชน ได้แก่ สัญลักษณ์ของกรมตำรวจเดิม คือ รูปตำรวจอุ้มคนเจ็บและมีเด็กจับขาตำรวจ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนทั่วไปทราบดีว่าเป็นสัญลักษณ์ ของตำรวจ<br /> 4.2.1.2 ป้ายชื่อที่ทำการตำรวจ ที่ทำการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง และชื่อภาษาอังกฤษอยู่ข้างล่าง (Lanthong Neighborhood Police Post) ใต้ป้ายชื่อที่ทำการตำรวจชุมชนจะมีหมายเลขโทรศัพท์ติดไว้ด้วย<br /> 4.2.1.3 ภายในสำนักงานจะประกอบด้วย<br /> 1) โต๊ะ และเก้าอี้ สำหรับตำรวจนั่งทำงาน 1 ชุด<br /> 2) เคาเตอร์สำหรับรับเรื่องราวต่าง ๆ สำหรับประชาชนที่ไป ติดต่อและจะมีวิทยุ – โทรศัพท์ พร้อมสมุดเบอร์ 2 ใช้สำหรับบันทึกข้อความหรือเหตุการณ์ที่ ประชาชนแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือและบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ชุมชน <br /> 3) มีที่นั่งชุดรับแขก 1 ชุด ไว้ให้ประชาชนมานั่งเพื่อปรึกษาหารือ พบปะกับตำรวจชุมชน <br /> 4.2.1.4 จัดให้มีแผนที่สังเขปของหมู่บ้านลานทอง 1 แผ่น ซึ่งในแผ่นที่จะแสดงรายละเอียด ถนน ซอย ที่ตั้งของบ้าน เลขที่บ้าน และอื่น ๆ ที่จำเป็น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำมาลงรายละเอียดอื่น ๆ ไว้ตามที่ต้องการสำหรับใช้ในกาควบคุมอาชญากรรม เช่น การแบ่งเขตตรวจของยาม และสายตรวจ<br /> 4.2.1.5 จัดให้มีนาฬิกาอาชญากรรม ปักหมุดโยงเข้าไปในแผนที่หมู่บ้าน<br /> 4.2.1.6 แผ่นบอร์ดแสดงการจัดกำลังตำรวจสายตรวจรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ พร้อมนามเรียกขาน เพื่อสะดวกในการติดต่อแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือ<br /> 4.2.1.7 บอร์ดสถิติคดีอาญา 5 กลุ่ม ติดคู่กับนาฬิกาอาชญากรรม<br /> 4.2.1.8 บอร์ดรายชื่อคณะกรรมการหมู่บ้านลานทอง พร้อมเลขที่บ้าน เลขที่ซอย และหมายเลขโทรทัศน์<br /> 4.2.1.9 บอร์ดแสดงผลการปฏิบัติการของตำรวจชุมชนลานทอง ซึ่งจะจัดไว้สำหรับประชาชนที่มาเยี่ยมชมที่ทำการตำรวจชุมชน มีรายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้<br /> 1) การตรวจเยี่ยมของผู้บังคับบัญชา (Commander’s Visit)<br />- 4 -<br /><br /> 2) การเยี่ยมบ้านเรือนประชาชน (House Visit)<br /> 3) ความสัมพันธ์ในชุมชน (Community Relation)<br /> 4) การให้ความรู้แก่ประชาชนตามโครงการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม (Crime Control Through Environmental Design)<br /> 5) กิจกรรมตำรวจพบประชาชน (Interaction Welfare)<br /> 6) การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน (Problem Solving)<br /> 7) การแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน (Problem Juvenile)<br /> 8) ความสัมพันธ์อันดีระหว่างตำรวจกับประชาชน (Get Together Understand Better)<br /> 9) จม.ขอบคุณจากประชาชนในพื้นที่ (Letter of Appreciation)<br /> 4.2.2 สิ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการปฏิบัติงานประจำที่ทำการตำรวจชุมชนลานทอง<br /> 4.2.2.1 จักรยานยนต์ 1 คัน สำหรับใช้เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน<br /> 4.2.2.2 รถจักรยาน 2 ล้อ 2 คัน<br /> 4.2.2.3 วิทยุประจำที่ทำการ 1 เครื่อง<br /> 4.2.2.4 วิทยุมือถือ 2 เครื่อง<br /> 4.2.2.5 โทรศัพท์อย่างน้อย 1 หมายเลข<br /> 4.2.2.6 วัสดุสำนักงานต่าง ๆ ตามความจำเป็น <br /> 4.3 วิธีการปฏิบัติงาน<br /> 4.3.1 แนวความคิดการอยู่ร่วมกันระหว่างตำรวจกับชุมชน<br /> 4.3.1.1 เตรียมการให้มีการบริการอย่างมีประสิทธิภาพ สุภาพอ่อนโยน และไม่ซักช้าด้วยการ<br /> 1) ทำให้ที่ทำการตำรวจชุมชนเป็นผู้นำและปฏิบัติการแบบเบ็ดเสร็จ ณ ที่ทำการตำรวจชุมชนนั้น ๆ<br /> 2) มีการให้ความรู้แก่ประชาชนด้านการป้องกันอาชญากรรมและการระงับเหตุตามโครงการควบคุมอาชญากรรมสภาพแวดล้อม<br /> 3) มีการตรวจสอบข่าวสาร และการเผยแพร่ข่าวสารที่รวดเร็ว ถูกต้องและทันเหตุการณ์<br /> 4) มีการให้คำแนะนำและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสม<br /> 5) มีบริการแจ้งข่าวสารทั้งด่วนและไม่ด่วนให้ประชาชนทราบ<br />- 5 -<br /><br /> 4.3.1.2 เสริมสร้างความสามัคคี เพื่อผลในด้านความไว้วางใจ และการสนับสนุนจากชุมชน ด้วยการ<br /> 1) สร้างบรรยากาศฉันท์มิตร<br /> 2) เสริมสร้างความรัก ความสามัคคีปองดองในหมู่คณะ<br /> 3) ขจัดอุปสรรค์ด้านความไม่เข้าใจ<br /> 4) ตำรวจชุมชนจะทำตัวเป็นเพื่อนกับประชาชนทุกคนในชุมชน โดยเฉพาะประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ และต้องการคำแนะนำ<br /> 4.3.1.3 แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของตำรวจ ด้วยการ<br /> 1) ให้ประชาชนได้เห็นการปฏิบัติการของตำรวจอย่างจริงจัง เช่น สายตรวจรถยนต์ สายตรวจรถจักรยานยนต์ สายตรวจรถจักรยาน และสายตรวจเดินเท้า<br /> 2) ปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง<br /> 3) มีจิตใจมุ่งมั่นในการรักความปลอดภัย<br /> 4) ทักทายปราศรัยด้วยความปรารถนาดี<br /> 4.3.1.4 นำแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาของสังคมด้วยการนำประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีผูกมัดจิตใจประชาชน ดังนี้<br /> 1) ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่ขาดความอบอุ่น<br /> 2) แก้ปัญหาทะเลาะวิวาทภายในครอบครัว<br /> 3) ช่วยแก้ปัญหาเด็กเกเรและอื่น ๆ <br /> 4.3.2 กิจกรรมของตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง งานประจำที่ต้องปฏิบัติในรอบวัน<br /> 4.3.2.1 งานจราจร ใน ช.ม. เร่งด่วน ระหว่าง 06.30 – 08.30 น. และ 15.30 – 17.30 น. ตำรวจชุมชนทั้งสองนาย จะต้องออกไปจัดการจราจรที่ปากทางออกหมู่บ้าน สู่ถนนติวานนท์ และช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับเด็กนักเรียนและผู้ปกครองหน้าโรงเรียนอนุบาลรพีพรรณ<br /> 4.3.2.2 งานบริการ ระหว่างเวลาราชการระหว่าง 08.30 – 16.30 น ตำรวจชุมชน 1 นาย จะต้องปฏิบัติประจำที่ทำการตำรวจและคอยให้บริการแก่ประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้<br /> 1) บริการให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ในขีดความสามารถ โดยเฉพาะแนะนำสถานที่บุคคล เส้นทาง ภายในเขตหมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียง<br /> 2) บริการรับแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย เหตุขอความช่วยเหลือต่าง ๆ <br />- 6 -<br /><br /> 3) แนะนำเรื่องการแจ้งเกิด/ตาย รวมทั้งแนะนำการออกใบ มรณบัตร <br /> 4) แนะนำให้ประชาชนที่เข้ามาอยู่อาศัยในหมู่บ้าน แจ้งย้ายทะเบียนราษฎรให้ถูกต้อง<br /> 5) บริการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่มีผู้มาขอร้อง<br /> 6) รับดูแลสิ่งของที่มีผู้เก็บตกได้ และนำมามอบให้ไว้ระหว่างสืบหาเจ้าของ <br /> 4.3.2.3 งานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ในระหว่างที่ตำรวจ ชุมชน 1 นาย ปฏิบัติหน้าที่ ณ ที่ทำการตำรวจ ตำรวจชุมชนอีก 1 นาย จะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกตรวจเยี่ยมเยียนบ้านเรือนประชาชน และตรวจการปฏิบัติงานของ รปภ. เอกชน ทั้งยามจุดและร่วมตรวจเยี่ยมบ้านเรือนประชาชนกับยามสายตรวจด้วย<br /> 1) ยามจุดมี 2 ชุด 2 นาย<br /> 2) ยามสายตรวจมี 4 นาย<br /> 3) จัดให้มีนายยามปกครองดูแลยามจุด และยามสายตรวจอีก 1 นาย <br /> 4) จัดระบบตู้แดง ภายในหมู่บ้านให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ทุกถนน และซอยโดยให้ยามสายตรวจเป็นผู้ลงนามในสมุดประจำตู้แดง โดยมีนายยามเป็น ผู้กำกับดูแล และตำรวจชุมชนเป็นผู้ตรวจกำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง<br /> 5) การตรวจเยี่ยมบ้านเรือนประชาชน ให้มุ่งเน้นตรวจบ้านเรือนที่ไม่มีคนเฝ้าดูแลโดยใช้กุญแจเฝ้าบ้านเป็นกรณีพิเศษ สำหรับบ้านที่มีคนดูแลจะใช้วิธีการตรวจผ่าน และมีการทักทายปราศรัยกับเจ้าของหรือผู้ดูแลบ้านด้วยอัธยาศัยไม่ตรีอันดี<br /> 6) ในระหว่างการตรวจเยี่ยมบ้านเรียน ตำรวจชุมชนจะต้องมีการให้คำปรึกษาแนะนำการป้องกันอาชญากรรม และการแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่หรือสถานการณ์ที่เสี่ยงล่อแหลมต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม<br /> 7) หากพบการกระทำผิดกฎหมายให้ดำเนินการจับกุมทันที กรณีความผิดเล็กน้อยให้ว่ากล่าวตักเตือน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาประชาชน <br /> 4.3.2.4 งานเยี่ยมเยียนบ้านเรือนประชาชน ตำรวจชุมชน 1 นาย จะต้องออกไปเยี่ยมเยียนบ้านเรือนประชาชนวันละ 1 ซอย เพื่อประชุมชี้แจงประชาชนตามความคิดจากโครงการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม และแจกเอกสารคำแนะนำต่าง ๆ เช่น <br /><br />- 7 -<br /><br /> 1) คำแนะนำในการจัดสภาพแวดล้อมในเขตรั้วบ้าน (พื้นที่ปฐมภูมิ) ไม่ให้เอื้ออำนวยต่อคนร้ายในการเข้าประกอบอาชญากรรม <br /> 2) คำแนะนำในการร่วมมือกันตรวจตรา สอดส่อง ดูแลพื้นที่ ถนน ซอยหน้าบ้าน ข้างบ้าน หลังบ้าน (พื้นที่ทุติยภูมิ) ไม่ให้คนร้ายมาใช้พื้นที่ดังกล่าวประกอบอาชญากรรมได้ โดยสะดวก<br /> 3) การปฏิบัติตัวในที่สาธารณะไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย<br /> 4) แผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เกิดขึ้นบ่อยในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง<br /> 4.3.2.5 เตรียมพร้อม ณ ที่ทำการตำรวจชุมชน หลังเวลา 21.00 น. เป็นต้นไป เป็นเวลาพักผ่อนตำรวจชุมชน 1 นาย (เป็นอย่างน้อย) จะต้องนอนพักผ่อนที่ที่ทำการ และพร้อมที่จะถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงวิทยุโทรศัพท์ ทั้งจากศูนย์วิทยุ และจากประชาชนในหมู่บ้านที่มีเหตุเกิดขึ้น ตำรวจชุมชนต้องพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุ และไปยังที่เกิดเหตุทันทีโดย ด่วนที่สุด ภายใน 3 – 5 นาที และทำหน้าที่แจ้งเหตุให้ศูนย์วิทยุปากเกร็ดทราบ เพื่อสั่งการให้สายตรวจรถจักรยานยนต์ สายตรวจรถยนต์ รีบเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนและสกัดจังคนร้าน <br /> 4.4 มาตรการเสริมการปฏิบัติหน้าที่ เป็นหน้าที่ของ สภ.อ. ปากเกร็ด ซึ่งเป็นโรงพักแม่ต้องดำเนินการสนับสนุน<br /> 4.4.1 มาตรการป้องกันปราบปราม<br /> 4.4.1.1 สายตรวจรถจักรยานยนต์ ต้องเข้าไปตรวจในหมู่บ้านให้บ่อยครั้งในช่วงแรกของการจัดตั้งตำรวจชุมชนเพื่อป้องกันเหตุมิให้เกิดขึ้นหลังจากจัดระบบตำรวจชุมชนเรียบร้อยแล้ว สายตรวจจักรยานยนต์ จึงลดความถี่ในการเข้าตรวจตราในหมู่บ้าน แต่จะต้องรีบเข้าระงับเหตุทันที ภายใน 3 – 5 นาที เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของตำรวจชุมชน<br /> 4.4.1.2 สายตรวจรถยนต์เสริมการปฏิบัติ รับผิดชอบการป้องกันและอำนวยการ กำกับ ดูแล การปฏิบัติของสายตรวจรถจักรยานยนต์ ปฏิบัติเช่นเดียวกับสายตรวจรถจักรยานยนต์ ตามข้อ 4.4.1.1 <br /> 4.4.1.3 ฝ่ายสืบสวน รับผิดชอบจัดทำประวัติผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างปากซอย ถ่ายรูป – พิมพ์มือ ตรวจสอบประวัติทุกคน รวมทั้งจัดทำประวัติบุคคลต้องสงสัย บุคคลที่มีหมายจับ และบุคคลพ้นโทษไว้<br /> 4.4.1.4 ฝ่ายป้องกันปราบปราม รับผิดชอบจัดทำประวัติคนงานก่อสร้างในเขตพื้นที่หมู่บ้าน และบริเวณใกล้เคียง โดยให้ประสานผู้รับเหมาก่อสร้างและ/หรือเจ้าของ โครงการ รวมทั้งควบคุมสอดส่อง บุคคล สถานที่ที่เป็นแหล่งมั่วสุมอบายมุข และผิดกฎหมาย<br />- 8 -<br /><br /> 4.4.1.5 ร้อยเวร 20 และ / หรือ สวป. นำกำลังตำรวจออกตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ในพื้นที่เกิดบ่อยครั้ง โดยประสานข้อมูลกับฝ่ายสอบสวนตามสถิตินาฬิกาอาชญากรรม<br /> 4.4.2 มาตรการชุมชนสัมพันธ์<br /> 4.4.2.1 จัดทำเอกสารหรือสติกเกอร์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบหมายเลขดทรศัพท์ของที่ทำการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทองและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้<br /><br />ประชาชนมีปัญหา ตำรวจชุมชน (หมู่บ้านลานทอง) อาสาแก้ไข โทร. 9645827<br /><br /> สภ.อ. ปากเกร็ด โทร. 5838323, 5868813<br /> สภ.เมืองทองธานี โทร. 9829490<br /> ศูนย์วิทยุรับแจ้งเหตุด่วน–เหตุร้าย โทร. 5840465<br /> ห้องร้อยเวรสอบสวน โทร. 9608724, 5838323<br /> ห้อง สวป. โทร. 9608725<br /> ห้อง สว.สส. โทร. 5847298<br /><br /><br /> ไม่ได้รับความสะดวกติดต่อ<br /> ผกก.หน.สภ.อ. ปากเกร็ด โทร. 5838813<br /> รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี โทร. 5263287<br /> ผบก.ภ จว.นนทบุรี โทร. 5250833 <br /><br /> 4.4.2.2 ทำเอกสารหรือสติกเกอร์ประชาสัมพันธ์วิธีการแจ้งข่าวสารอาชญากรรมให้ประชาชนทราบ <br /> 4.4.2.3 ทำเอกสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงแผนประทุษร้ายของคนร้ายในเขตพื้นที่<br /> 4.4.2.4 ทำแผ่นประชาสัมพันธ์ ให้คำแนะนำเน้นการให้ความรู้แก่ประชาชน ตามโครงการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม<br /> 4.4.2.5 จัดให้มีวันตำรวจพบประชาชนในโอกาสอันควร ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง โดย พล.ต.ต.ดำรง อินทปันตี ผบกง ภ.จว. นนทบุรี และ/หรือ พ.ต.อ.สมชัย เจริญทรัพย์ รอง ผบก. ภ.จว. นนทบุรี และ/หรือ พ.ต.ท. ประทวน สมบูรณ์ รอง ผกก.หน.สภ.อ.ปากเกร็ด เป็น<br />- 9 -<br /><br />วิทยากรบรรยาย และประชุมชี้แจงให้ความรู้แก่ประชาชน ตามโครงการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม และแจกเอกสารประชาสัมพันธ์<br /> 4.4.2.6 จัดชุดชุมชนสัมพันธ์ ภ.จว.นนทบุรี เข้าไปแสดงในหมู่บ้านลานทอง และจัดนิทรรศการตำรวจชุมชนเดือนละครั้ง<br /> 4.4.3 มาตรการดึงประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรม<br /> 4.4.3.1 จัดตั้งองค์กรประชาชนขึ้น ประกอบด้วย<br /> 1) คณะกรรมการกลางของหมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากซอยต่าง ๆ ทุกซอย ในหมู่บ้าน<br /> 2) คณะกรรมการที่ปรึกษาของหมู่บ้าน <br /> 3) จัดตั้งกลุ่มหรือชมรมเพื่อนบ้านเตือนภัย โดยการที่ดึงให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการป้องกันดูแลทรัพย์สินของตนเองและเพื่อนบ้านเมื่อพบเหตุต้องสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนประจำหมู่บ้านทราบทันที<br /> 4.4.3.2 สร้างแนวร่วมประชาชน โดยการเชิญประชาชนในหมู่บ้านร่วมประชุมสัมมนาปรึกษาหารือและอบรมชี้แจงตามโครงการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม<br /> 4.4.3.3 ชักจูงแนะนำให้ประชาชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมควบคุมอาชญากรรมและช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมจังหวัดนนทบุรี โดยเน้นหนักในเรื่อง<br /> 1) การแจ้งข่าวอาชญากรรม<br /> 2) การป้องกันชุมชนให้เกิดความปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย <br /> 3) การช่วยสกัดจับคนร้าย<br /> 4) การรักษาสถานที่เกิดเหตุ<br /> 5) การต่อต้านยาเสพติดให้โทษ<br /> 6) การลดอุบัติภัยทางการจราจรและการระวังป้องกันอัคคีภัย<br /> 4.4.4 มาตรการเยี่ยมบ้านเรือนประชาชนและจัดเก็บข้อมูล จัดกำลังตำรวจที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี 1 ชุด 3 – 4 นาย ออกเยี่ยมบ้านเรือนประชาชน เป็นการปฏิบัติร่วมกับตำรวจ ชุมชนในหมู่บ้าน 2 นาย และเป็นการเสริมการปฏิบัติโดยจัดเก็บข้อมูล ดังนี้<br /> 4.4.4.1 จัดทำทะเบียนบ้านผู้อยู่อาศัย ในบ้านแต่ละหลัง ตั้งแต่หัวหน้าครอบครัวถึงคนรับใช้และผู้ที่อาศัยอยู่ชั่วคราว กรณีผู้ใดยังไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านแนะนำให้ไปแจ้งย้ายเข้ากับเทศบาลให้ถูกต้อง <br /> 4.4.4.2 จัดทำข้อมูลรถยนต์ รถจักรยายนต์ และรถจักรยานให้ปรากฏ ยี่ห้อ สี เลขทะเบียน เลขเครื่องยนต์ และเลขตัวถังรถ<br />- 10 -<br /> 4.4.4.3 จัดทำข้อมูลอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่น พัดลม ตู้เย็น ทีวี VDO และอื่น ๆ ที่คนร้ายสามารถลักทรัพย์ไปได้ง่าย โดยให้ปรากฏ ยี่ห้อ รุ่น สี ขนาด เลขหมายประจำเครื่อง และแนะนำให้ประชาชนใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนหรือเลขหมายบัตรใบอนุญาตขับขี่ก็ได้สลักไว้ในที่ลับ เพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ในภายหลัง<br /> 4.4.4.4 รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรม และข้อมูลความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ นำไปแก้ไขปัญหาตอบสนองความต้องการของประชาชน<br /> 4.4.4.5 กรณีมีเหตุต้องสงสัยว่าจะเกิดเหตุร้ายหรือเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาอาชญากรรม ณ จุดใดตำรวจชุมชนและชุดเยี่ยมบ้านเรือนประชาชนจะรีบไปแจ้งเตือนให้ ประชาชนทราบ หากไม่พบเจ้าของบ้านจะเสียบจดหมายไว้ที่บ้าน และทำเอกสารแจ้งเวียนให้ทราบทั่วกันทั้งหมู่บ้าน<br /> 4.4.5 วิธีการปฏิบัติงาน เมื่อเกิดเหตุขึ้นในหมู่บ้าน<br /> 4.4.5.1 ตำรวจชุมชนที่รับผิดชอบในหมู่บ้าน จะต้องเร่งรีบไประงับเหตุ ทันทีใช้เวลาอย่างช้า 3 – 5 นาที และแจ้งเหตุให้ศูนย์วิทยุปากเกร็ดทราบ สั่งการให้สายตรวจจักรยานยนต์ สายตรวจรถยนต์ปากเกร็ด 20 (ร้อยเวรรอง สวป. ประจำวัน) ปากเกร็ด 30 (ร้อยเวรสอบสวน) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เข้ามาสนับสนุนต่อไป<br /> 4.4.5.2 สายตรวจรถจักรยานยนต์ 1 คัน ๆ ละ 2 นาย ที่รับผิดชอบตรวจในเขตหมู่บ้านลานทอง ต้องเร่งรัดไปถึงที่เกิดเหตุโดยเร็ว<br /> 4.4.5.3 สายตรวจรถยนต์ (ปากเกร็ด 20) ให้เร่งรัดไปที่เกิดเหตุทำหน้าที่อำนวยการ สั่งการสายตรวจให้สกัดจับคนร้าย โดยประสานข้อมูลกับตำรวจชุมชนในหมู่บ้าน ณ ที่เกิดเหตุ<br /> 4.4.5.4 ร้อยเวรสอบสวน (ปากเกร็ด 30) เร่งรัดไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วย เจ้าหน้าที่วิทยากร เพื่อตรวจสถานที่เกิดเหตุ สอบสวนผู้กล่าวหา พยาน ทำแผนที่เกิดเหตุ ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ บัญชีทรัพย์หายถ่ายรูปและจัดเก็บลายพิมพ์นิ้วมือแฝง และพยานหลักฐานอื่น ๆ ประกอบสำนวน ตามลักษณะของคดีแต่ละประเภท<br /> 4.4.5.5 เจ้าหน้าที่สืบสวน เร่งรัดไปที่เกิดเหตุ ประสานข้อมูลกับร้อยเวรสอบสวน และสืบสวนติดตามพยานในคดี หรือติดตามคนร้ายอย่างใกล้ชิด<br /> 4.4.5.6 รายงานให้ รอง ผกก.หน.สภ.อ. ปากเกร็ดทราบ กรณีเหตุ อุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ คดีแปลกประหลาด ครึกโครม คดีที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษให้รายงาน รอง ผบก. ภ.จว. นนทบุรี และ ผบก.ภ. จว.นนทบุรี ทราบ เพื่อร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย<br />- 11 -<br />5. ระยะเวลาในการดำเนินงาน<br /> โครงการนี้เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2539 เป็นต้นไป และจะทำการประเมินผลโครงการหลังจากปฏิบัติงานผ่านไปแล้ว 6 เดือน<br /><br />6. งบประมาณ<br /> ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากคณะกรรมการหมู่บ้านลานทอง และภาคเอกชน อื่น ๆ ที่มีจิตศรัทธา<br /><br />7. ผู้รับผิดชอบโครงการ<br /> 1. พล.ต.ต.ดำรง อินทปันตี ผบก.ภ.จว.นนทบุรี เป็นประธานโครงการ<br /> 2. พ.ต.อ.ชูศักดิ์ โภชพันธุ์ รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี เป็นรองประธานโครงการ<br /> 3. พ.ต.อ.สมชัย เจริญทรัพย์ รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี เป็นรองประธานโครงการ<br /> 4. พ.ต.ท.ประทวน สมบูรณ์ รอง ผกก.หน.สภ.อ.ปากเกร็ด เป็นหัวหน้าคณะทำงานฯ<br /> 5. สวป.สว.สส.สว.ส. รอง สว.ทุกนาย เป็นคณะทำงานตามโครงการ<br /> 6. พลฯ เรืองศิริ อุ้ยปะโค และพลฯ ถาวร วงเครือศรี เป็นเจ้าหน้าที่ประจำที่ทำการ<br /><br />8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br /> 8.1 ประชาชนจะพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของตำรวจมากขึ้น<br /> 8.2 ประชาชนจะให้ความร่วมมือกับตำรวจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม มากขึ้น<br /> 8.3 ประชาชนจะให้ความรัก ความศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวตำรวจชุมชน มากขึ้น <br /> 8.4 สร้างความอบอุ่นใจ ลดความหวาดระแวงภัยต่อปัญหาอาชญากรรมให้ประชาชนมากขึ้น <br /> 8.5 สามารถลดคดีและควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ประชาชนพึงพอใจ และยอมรับได้<br /><br />ผลการดำเนินโครงการจัดตั้งตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง<br />สภาพปัญหาเดิม<br /> 1. สภาพปัญหาอาชญากรรมมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ เช่น ลักทรัพย์ในเคหสถาน ชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ลักทรัพย์รถจักรยานยนต์และปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด เช่น ยาบ้าเฮโรอีน การสูดดมสารระเหย<br />- 12 -<br /><br /> 2. สภาพความไม่เป็นระเบียบด้านการจราจรในหมู่บ้าน ประชาชนส่วนใหญ่จะมักง่าย จอดรถโดยไม่คำนึงว่าจะกีดขวางการจราจร หรือรบกวนสิทธิของเพื่อนบ้าน ขับรถจักรยานยนต์ – รถยนต์ส่งเสียงดัง ไม่เกรงใจเพื่อนบ้าน ฯลฯ<br /> 3. ขาดความสามัคคีภายในชุมชน หมู่บ้าน ประชาชนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดทั่วทุกภาคย้ายเข้ามาอยู่อาศัย ไม่รู้จักกันจึงทำให้ขาดความรักความสามัคคีปรองดองกัน อยู่แบบตัวใครตัวมัน ข้างบ้านหน้าบ้านไม่เคยรู้จักกันแม้แต่ชื่อ หรือไม่เคยพูดคุยกัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ปัญหาอาชญากรรมตามเข้ามา<br /> 4. สภาพแวดล้อมในเขตรั้วบ้านของตนเองขาดการเอาใจใส่ดูแล ปรับปรุงในลักษณะไม่เอื้ออำนวยให้คนร้ายเข้าประกอบอาชญากรรมได้โดยง่ายเนื่องจากประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจตามวิธีการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม<br /> 5. พื้นที่ที่ประชาชนใช้ร่วมกันและพื้นที่สาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ขาดการเอาใจใส่ดูแลจากประชาชนที่ใช้พื้นที่นั้น ๆ ร่วมกัน เช่น ถนน ตรอก ซอย หน้าบ้าน ข้างบ้าน สวนหย่อม ฯลฯ<br /> 6. ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br /> จากสภาพปัญหาดังกล่าว สภ.อ.ปากเกร็ด โดย พ.ต.อ.สมชัย เจริญทรัพย์ รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี รักษาการในตำแหน่ง รอง ผกก.หน.สภ.อ.ปากเกร็ด ได้ดำเนินการจัดทำโครงการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทองขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวโดยคำแนะนำของ พล.ต.อ.วิรุฬห์ พื้นแสน ผู้ช่วย อ.ตร.ภ.1<br /><br />แนวคิดและหลักการ<br /> การดำเนินงาน โดยยึดหลัก 4 ประการคือ<br /> 1. กระจายกำลังตำรวจออกไปปฏิบัติในพื้นที่ให้มากที่สุด<br /> 2. ตำรวจต้องรู้จักพื้นที่ ประชาชน สภาพการณ์ เหตุการณ์ สถานภาพอาชญากรรม ในพื้นที่รับผิดชอบ<br /> 3. ตำรวจทำงานป้องกันและปราบปราม โดยดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมอาชญากรรม<br /> 4. การปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมต้องควบคู่ไปกับงานชุมชนสัมพันธ์<br /><br /><br /><br />- 13 -<br /><br />วิธีการปฏิบัติ<br /> 1. แนวความคิดการอยู่ร่วมกันระหว่างตำรวจกับชุมชน<br /> 2. การจัดภายในสำนักงานที่ทำการตำรวจชุมชน<br /> 3. กิจกรรมของตำรวจชุมชนและงานประจำที่ต้องปฏิบัติงานใน 24 ชม.<br /> 3.1 งานจราจร<br /> 3.2 งานบริการ<br /> 3.3 งานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม<br /> 3.4 งานเยี่ยมบ้านเรือนประชาชน<br /> 3.5 เตรียมพร้อม ร ที่ทำการตำรวจชุมชน<br /> 4. มาตรการเสริมการปฏิบัติงานจาก สภ.อ.ปากเกร็ด ซึ่งเป็นโรงพักแม่<br /> 4.1 มาตรการป้องกันและปราบปราม<br /> 4.2 มาตรการชุมชนสัมพันธ์<br /> 4.3 มาตรการดึงประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรม<br /> 4.4 มาตรการเยี่ยมบ้านเรือนประชาชนจัดเก็บข้อมูล<br /> 5. วิธีการปฏิบัติงาน เมื่อเกิดขึ้นในหมู่บ้าน - ชุมชน<br /> รายละเอียดปรากฏในเอกสารโครงการจัดตั้งที่ทำการตำรวจชุมชนหมู่บ้านลานทอง ซึ่งทาน พล.ต.อ. วิรุฬห์ พื้นแสน ผู้ช่วย อ.ตร.ภ. 1 ได้ลงนามอนุมัติโครงการแล้วเมื่อ 12 มกราคม 2539 และได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 15 เมษายน 2539 เป็นต้นมา <br /><br />ผลการดำเนินงาน<br /> โครงการนี้ได้ดำเนินการด้วยดีมาตลอด ครบกำหนด 3 เดือน ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2539 จึงได้ทำการประเมินผล ในช่วงแรกใช้การประเมินผล 3 วิธี<br /> 1. แบบสอบถาม โดยวิธีการส่งแบบสอบถาม (Questionnaire) สอบถามประชาชนจากกลุ่มตัวอย่าง (Sampling) ประมาณ 500 คน โดยการกระจายในแต่ละซอยมีประชาชนตอบแบบสอบถามมา 350 คน สรุปได้ดังนี้<br /> 1.1 ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของตำรวจชุมชน<br /> 1.2 ประชาชนอบอุ่นใจ ลดความหวาดระแวงภัยต่อปัญหาอาชญากรรมให้ประชาชนได้มากขึ้น<br /> 1.3 สถิติคดีอาชญากรรมในหมู่บ้านลดลง<br /><br />- 14 -<br /><br /> 2. สำรวจสถิติคดีอาญา จากงานคดีของ สภ.อ. ปากเกร็ด พบว่าสถิติคดีอาญากลุ่ม ที่ 1 (คดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ) กลุ่มที่ 2 (คดีประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกาย) กลุ่มที่ 3 (คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์) กลุ่มที่ 4 (คดีที่น่าสนใจ) ลดลง ส่วนกลุ่มที่ 5 (คดีรัฐเป็นผู้เสียหาย) ตำรวจชุมชนสามารถแจ้งข่าวสาข้อมูลให้กับฝ่ายป้องกันปราบปรามและฝ่ายสืบสวนสอบสวน เป็นเหตุให้จับกุมความผิดกลุ่มที่ 5 ได้มากขึ้นโดยเฉพาะข่าวสารที่ได้มานั้นได้มาจากประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชน ทั้งสิ้น <br /> 3. การสุ่มตัวอย่างสอบถามประชาชน ได้สอบถามคณะกรรมการชุมชนและประชาชนโดยทั่วไป ตามร้านค้า ตามบ้านเรือนอยู่อาศัย และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ปรากฏว่าได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นด้วยที่จัดให้ตำรวจชุมชนประจำในหมู่บ้านและลดปัญหาอาชญากรรมได้จริง ประชาชนอบอุ่นใจขึ้น ประชาชนพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของตำรวจชุมชน<br /><br />สรุป<br /> โครงการจัดตั้งชุมชนหมู่บ้านลานทองบรรลุวัตถุประสงค์ตามผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการทุกประการ ดังนี้<br /> 1. ประชาชนพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของตำรวจมากขึ้น<br /> 2. ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามมากขึ้น<br /> 3. ประชาชนให้ความรัก ความศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวตำรวจมากขึ้น<br /> 4. สามารถสร้างความอบอุ่นใจ ลดความหวาดระแวงภัยต่อปัญหาอาชญากรรมให้ประชาชนมากขึ้น <br /> 5. สามารถลดคดีและควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ประชาชนถึงพอใจและยอมรับได้<br /> 6. สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนมีระเบียบในการจราจรและลดอุบัติภัยในการจราจรได้มากขึ้น<br /> 7. สร้างจิตนำสึกให้ประชาชนรู้จักดูแลป้องกันชีวิตทรัพย์สินของตนเองได้มากขึ้น<br /> 8. สร้างจิตสำนึกร่วมกันในการสอดส่องดูแลพื้นที่ถนน ตรอก ซอย และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่ใช้ร่วมกันได้มากขึ้น<br /> 9. สร้างจิตสำนึกในการร่วมกันป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้มากขึ้น<br /> สภาพปัญหาเดิมที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านลานทองได้รับการแก้ไขและบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการตำรวจชุมชน และประชาชนทุกคนในชุมชนหมู่บ้านลานทองร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-16868913195660562472010-07-21T02:54:00.000-07:002010-07-21T02:56:49.349-07:00ตัวอย่างแผนปฏิบัติราชการประจำปี สภ.แผนปฏิบัติราชการสถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๑<br /><br />๑.หลักการและเหตุผล<br /> ๑.๑ แผนพัฒนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๕๔ <br /> พลตำรวจเอก เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. ได้ประกาศใช้แผนพัฒนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๕๔ เพื่อให้หน่วยในสังกัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้เป็นแนวทางในการวางแผน และจัดทำโครงการ เพื่อการพัฒนางานของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้กำหนดแนวทางการพัฒนาไว้เป็นแผนหลัก ๓ ด้าน ได้แก่<br /> (๑) แผนพัฒนาตำรวจและครอบครัว ให้มีอุดมการณ์แห่งชีวิต มีรูปแบบวิถีชีวิตที่ดีงาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเพื่อร่วมมือกัน ผสมงาน ประสานใจ ในการปฏิบัติงาน<br /> (๒) แผนพัฒนาองค์กร – หน่วยงาน เพื่อพัฒนางานให้เป็นระบบที่ถูกต้อง ครอบคลุมการปฏิบัติในทุกๆ ด้าน เหมาะสมทันสมัย และมีคุณภาพ รวมทั้งสร้างความเข้าใจให้แก่ข้าราชการตำรวจ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์สูงสุดตามพันธกิจ หน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ<br /> (๓) แผนพัฒนาระบบงาน นอกจากการพัฒนาข้าราชการตำรวจและครอบครัว ตลอดจนองค์กร-หน่วยงาน เพื่อให้มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว สั่งสำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งก็คือ การพัฒนาระบบงานให้ครอบคลุมภารกิจทั้งหมด จึงจะสามารถทำให้การปฏิบัติหน้าที่บรรลุเป้าประสงค์สูงสุดอย่างแท้จริง แผนพัฒนาระบบงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ทีจะต้องได้รับการพัฒนาควบคู่กันไปกับแผนพัฒนาตำรวจและครอบครัวแผนพัฒนาองค์กร-หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น ซึ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจภูธรภาค ๗ ได้มีคำสั่ง กำหนดลักษณะงานและมอบหมายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และในระดับ ตำรวจภูธรภาค ๗ ได้มอบหมายงาน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ไว้ ๗ กลุ่มงาน ได้แก่<br /> (๑) งานบริหาร รับผิดชอบวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุมกำกับดูแล ตรวจสอบติดตามและประเมินผลงานที่เกี่ยวกับนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนของตำรวจภูธรภาค ๗ งานการบริหารงาน บุคคล การศึกษา การฝึกอบรม งานวิชาการ สวัสดิการ การพัฒนาองค์กร การบริหารจัดการ การพัฒนา รักษาและควบคุมการใช้ทรัพยากรต่างๆ ทั้งในด้านบุคคล งบประมาณ การเงิน การพัสดุ การพลาธิการและสรรพาวุธ การสื่อสารโทรคมนาคม เทคโนโลยี การส่งกำลังบำรุงอื่นๆ รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้อง หรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ให้บังเกิดประสิทธิภาพสูงสุด<br /> (๒) งานป้องกันอาชญากรรม รับผิดชอบวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุมกำกับดูแลตรวจสอบติดตามและประเมินผลงานด้านการป้องกันอาชญากรรม และรักษาความสงบเรียบร้อย งานคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ งานชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้อง หรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่อป้องกันมิให้อาชญากรรมเกิดขึ้น<br /> (๓) งานสืบสวนปราบปรามอาชญากรรม รับผิดชอบวางแผน อำนวยการ สั่งการกำกับดูแล ตรวจสอบติดตาม และประเมินผลงานด้านการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรม การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาทุกฉบับ ตลอดจนองค์กร เครือข่ายที่อยู่เบื้องหลัง รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้องหรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่อมิให้เกิดอาชญากรรมขึ้น<br /> (๔) งานสืบสวนสอบสวน รับผิดชอบ อำนวยการ สั่งการ ควบคุมกำกับดูแลตรวจสอบติดตามประเมินผลงานด้านการสืบสวนคดีอาญา การมีความเห็น การให้ความเห็นชอบ หรือเห็นแย้งในคดีอาญา การอุทธรณ์ ฎีกา หรือการขอให้พิจารณาคดีใหม่ และงานด้านกฎหมาย<br />อื่นๆ รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้อง หรือเป็นส่วนประกอบของานนี้ เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาให้บังเกิดประสิทธิภาพสูงสุด<br /> (๕) งานกิจการพิเศษ รับผิดชอบวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุมกำกับดูแลตรวจสอบติดตามและประเมินผลงานด้านการถวายความปลอดภัย การอารักขา การรักษาความปลอดภัย กิจการตามโครงการพระราชดำริ กิจการต่างประเทศ การตรวจคนเข้าเมือง การบรรเทาสาธารณภัย การบินตำรวจ รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้อง หรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่อให้การปฏิบัติราชการบังเกิดประสิทธิภาพสูงสุด<br /> (๖) งานความมั่นคง รับผิดชอบวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุมกำกับดูแล ตรวจสอบติดตามและประเมินผลงานด้านการข่าว การต่อต้านข่าวกรองด้านความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน การรักษาความสงบเรียบร้อยเกี่ยวกับการชุมนุมเรียกร้อง การเลือกตั้ง รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้อง หรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่อให้การปฏิบัติราชการบังเกิดประสิทธิภาพสูงสุด<br /> (๗) งานจเรตำรวจ รับผิดชอบวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุมกำกับดูแล ตรวจสอบติดตามและประเมินผลงานด้านการตรวจราชการ การปฏิบัติหน้าที่ราชการของข้าราชการตำรวจ กวดขันดูแลระเบียบ วินัย ขวัญ กำลังใจ ตรวจสอบข้อเท็จจริง สืบสวนข้อเท็จจริงและสอบสวนการกระทำผิดวินัยกรณีที่มีการ้องเรียนกล่าวหาข้าราชการตำรวจ ลูกจ้าง พนักงานราชการกระทำผิดวินัย ประพฤติมิชอบ หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ให้ความเห็น ข้อเสนอแนะ และแนวทางแก้ไขปัญหาในการบริหารงานตำรวจ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผน กฎ ข้อกำหนด ข้อบังคับ คำสั่ง แจ้งความ ฯลฯ และควบคุมกำกับดูแล ตรวจสอบการใช้ทรัพยากร งบประมาณ ฯลฯ <br /> <br /> ๑.๒ ยุทธศาสตร์ตำรวจภูธรภาค ๗ ได้กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ตำรวจภูธรภาค ๗ (พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๑) ของตำรวจภูธรภาค ๗ได้แยกออก ๖ ยุทธศาสตร์ตามแนวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนี้<br />๑)ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ เน้นการถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ให้ปลอดภัยสูงสุด โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการถวายความปลอดภัยตามเส้นทางเสด็จฯหลัก พัฒนาการควบคุมฝูงชนให้มีมาตรฐานสากล และการพัฒนางานการข่าว การต่อต้านการก่อการร้ายสากล <br /> ๒)ยุทธศาสตร์การให้บริการที่ดีแก่ประชาชนและชุมชน โดยเน้นการเพิ่มสถานีตำรวจภูธรสาขา ตู้ยามตำรวจ และสายตรวจตำบล กระจายสู่ชุมชนให้ทั่วถึง ให้เป็นตำรวจชุมชน (Community Policing) การประเมินสถานีตำรวจให้ผ่านเกณฑ์ตามโครงการพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อประชาชน<br /> ๓)ยุทธศาสตร์การควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับที่ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขของประชาชน เน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมโดยใช้การตำรวจชุมชน (Community Policing) พัฒนาระบบสายตรวจและศูนย์ควบคุมสั่งการ ให้มีมาตรฐานสากล และ พัฒนาศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศทุกระดับ ให้สามารถช่วยในการสืบสวน สอบสวน<br /> ๔)ยุทธศาสตร์การอำนวยความยุติธรรม โดยให้จัดตั้งและดำเนินงานศูนย์พิทักษ์เหยื่ออาชญากรรมทุกระดับ มีคณะกรรมการส่งเสริมงานสอบสวนของตำรวจภูธรภาค ๗ ทีมพนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี การใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลักสำคัญในการพิสูจน์ความผิดและคนร้าย การใช้หลักการยุติธรรมสมานฉันท์ช่วยในการอำนวยความยุติธรรม<br /> ๕) ยุทธศาสตร์การควบคุมการจราจรและการบริการสังคม เน้นการให้ประชาชนร่วมมือและให้ทุกฝ่ายมีความตระหนักต่อสังคมร่วมกันในการจราจร และการประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุกระจายเสียง<br />๖) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่ดี ใช้ระบบการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์(Result Based Management) ที่มีการประเมินผลตามหลักการตารางลิขิตสมดุล (Balance Scorecard)คำรับรองปฏิบัติราชการ การใช้ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ ใช้ระบบควบคุมภายในเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามกับคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ และใช้การฝึกอบรมแบบผู้ใหญ่และสถานการณ์สมมุติ (Scenario) รวมทั้งให้มีการประเมินผู้บังคับบัญชาของสถานีตำรวจ<br /><br /> ๑.๓ ยุทธศาสตร์ของจังหวัดสารขันธ์ “เป็นเมืองน่าอยู่ ผู้คนมีสุข ทุกคนร่ำรวย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”<br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br /> ๑.๔ นโยบายการบริหารราชการของ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ <br /> ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ ได้นำยุทธศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่างและยุทธศาสตร์ของตำรวจภูธรภาค ๗ มาวิเคราะห์ แล้วจัดทำเป็นนโยบายการบริหารราชการตำรวจภูธรภาค ๗ เพื่อนำพาไปสู่เป้าหมายและเป้าประสงค์ โดยมีนโยบาย ๗ ด้านดังนี้<br /> (๑) ด้านการถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุดเหนือภารกิจใด มีมาตรการในการถวายความปลอดภัยอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ<br /> (๒)ด้านการบริหารงานและการปกครองบังคับบัญชา สร้างความสำนึกในหน้าที่ของตำรวจและเห็นตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ผู้บังคับบัญชาจะต้องให้ความสำคัญกับระบบราชการปกครองบังคับบัญชาตามสายการบังคับบัญชา จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความสำเร็จหรือความล้มเหลวของงาน และจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา<br /> (๓) ด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม แนวทางการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เน้นการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุกเป็นหลักสำคัญโดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์ไตรภาคี ประกอบด้วย ตำรวจ องค์กรภาครัฐ และประชาชนยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นตัวตั้ง รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร เสริมด้วยการสืบสวนและปราบปรามอาชญากรรมควบคู่และต่อเนื่องกันไป มีเป้าหมายอยู่ที่การควบคุมอาชญากรรม โดยให้อยู่ในระดับที่ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขของประชาชน และให้อยู่ในเกณฑ์ความสำเร็จตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนวทางการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษที่มีความเร่งด่วนได้แก่การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ การป้องกันปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ การป้องกันและปราบปรามอบายมุข และการป้องกันและปราบปรามมือปืนรับจ้างและผู้มีอิทธิพล<br /> (๔) ด้านการอำนวยความยุติธรรมทางอาญา พัฒนาโครงสร้างระบบงานอำนวยความยุติธรรมพร้อมพัฒนาระบบงานด้านการสืบสวนสอบสวน และการตรวจพิสูจน์หลักฐานและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องในกระบวนยุติธรรม<br /> (๕) ด้านการจราจร มุ่งเน้นให้สถานตำรวจแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในการติดขัดของการจราจรโดยต้องวิเคราะห์ปัญหาและมีมาตรการแก้ไขที่ชัดเจน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบทางวิทยุกระจายเสียงอย่างรวดเร็วต่อเหตุการณ์<br /> (๖) ด้านการพัฒนาการบริหาร มุ่งพัฒนาบุคลากร และส่งเสริมให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ทั้งในด้านยุทธวิธีตำรวจ การสืบสวนสอบสวน การป้องกันปราบปราม, การบังคับใช้กฎหมายที่ทันสมัยให้กับข้าราชการตำรวจทุกระดับชั้น เพื่อนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการได้จริง และทันต่อเหตุการณ์<br /> (๗) ด้านสวัสดิการ มุ่งเน้นให้มีการจัดสรรสิทธิประโยชน์ สวัสดิการที่ถูกต้อง ตามกฎหมายให้แก่ข้าราชการตำรวจ เช่น เงินค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก เงินค่าตอบแทนการสอบสวนคดีอาญา เงินรางวัลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจร หรือการสนับสนุนช่วยเหลือสวัสดิการครอบครัว เช่น ทุนการศึกษาเล่าเรียนบุตร เป็นต้น ให้มีความเป็นธรรมโปร่งใสและรวดเร็ว <br /><br />๑.๕วิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายนอก และภายในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์. (SWOT)<br />ระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๕๑ คือระหว่าง ๑ ตุลาคม ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ จะมีสถานการณ์ที่กระทบต่อการปฏิบัติงานของ สถานีตำรวจ.ภูธรเมืองสารขันธ์ ดังนี้<br /> ๑) สถานการณ์ที่เป็นอุปสรรค<br /> ๑.๑) สถานการณ์ทั่วไปของโลก ยังมีการก่อการร้ายสากล และผู้ก่อการร้ายสากลอาจใช้พื้นที่ ตำรวจภูธรภาค ๗เป็นที่หลบซ่อน(Safe Haven) และอาจใช้ยุทธวิธีการก่อวินาศกรรมโดยการใช้ระเบิดแสวงเครื่องในรูปแบบต่าง ๆเพื่อก่อเหตุในพื้นที่ข้างเคียง และสภาพสังคมในพื้นที่จะเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ทำให้ชุมชนมีความอ่อนแอ ความร่วมมือในการดูแลสังคม ชุมชน จะน้อยลง<br /> ๑.๒ )สหภาพพม่า มีการชุมนุมประท้วงประชาธิปไตย ทำให้มีการจับกุมกวาดล้าง ซึ่งอาจทำให้มีการลี้ภัยเข้ามายังประเทศไทย ทางด้านที่ติดกับพื้นที่ตำรวจภูธรภาค ๗ นอกจากนี้พม่ายังไม่มีความเข้มแข็งในการจัดระเบียบชนกลุ่มน้อย ทำให้ปัญหาการทะลักเข้ามาของยาเสพติด การระบาดของยาเสพติดและการเป็นแหล่งพักยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสารขันธ์ และเขตพื้นที่ สถานีตำรวจ.............และคนหลบหนีเข้าเมือง ไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น <br /> ๑.๓) สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่คลี่คลายในทางที่ดีขึ้นและรัฐบาลไม่มีนโยบายในการเพิ่มกำลังตำรวจในพื้นที่อื่น ทำให้ ภ. ๗ ไม่ได้รับการสนับสนุนกำลังตำรวจเพิ่มเติม และยังต้องเตรียมพร้อมในการสนับสนุนกำลังให้แก่ บช.น.และ ภ. ๙ ในส่วนของ ภ.๗ ต้องเพิ่มความเข้มในการข่าว และสกัดกั้นยาเสพติด อาวุธสงคราม ไม่ให้ส่งลงไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้<br /> ๑.๔) รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารงานภายในจังหวัดมากขึ้น เช่นนโยบายอยู่ดีมีสุขของรัฐบาลปัจจุบัน หรือการให้อำนาจองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งทำให้จังหวัดมีอำนาจในพื้นที่มากขึ้น ทำให้บางกรณี ภ.จว.สารขันธ์ ต้องรับงบประมาณผ่านทางจังหวัด หรือต้องของบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมักถูกจัดลำดับความสำคัญในลำดับรองจากส่วนราชการอื่นในการจัดสรรงบประมาณ เพื่อให้บรรลุตามยุทธศาสตร์ <br /> ๑.๕) คนไทยส่วนมาก มีค่านิยมยกย่องการฝ่าฝืนระเบียบ และมีจิตสำนึกต่อส่วนรวมในระดับต่ำถ้าไม่ถึงภาวะวิกฤติหรือถูกบังคับ (เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว) มักติดนิสัยการให้สินบน ทำให้การมองภาพลักษณ์ของผู้ที่ควบคุมกฎระเบียบในทางที่ไม่ดีไปด้วยตามกระบวนทัศน์ของตน เช่น ครูฝ่ายปกครอง และตำรวจ จะถูกมองในลักษณะของผู้หาผลประโยชน์จากกฎระเบียบที่บังคับ <br /> <br /><br /><br /> ๒) โอกาส<br /> ๒.๑) พระบรมวงศานุวงศ์ มีพระตำหนักอยู่ที่อำเภอหัวหินหลายพระองค์ ทำให้หน่วยตำรวจในเส้นทางเสด็จฯผ่าน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณได้มากขึ้น เพื่อยกมาตรฐานการปฏิบัติงานในการอารักขาบุคคลสำคัญที่ผ่านไปมา<br /> ๒.๒) รัฐบาลยังให้ความเชื่อถือว่าหน่วยงานตำรวจ เป็นหน่วยงานที่มีข้าราชการประจำกระจายลงประจำสู่พื้นที่เป็นเครือข่ายมากกว่าทุกส่วนราชการ (ยึดพื้นที่เป็นเครือข่ายจากส่วนกลาง)<br /> ๒.๓) เริ่มมีหน่วยงานราชการหลายภาคส่วน และองค์กรอิสระ และภาคเอกชน อื่น ๆ มาตรวจสอบการทำงานของตำรวจมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้ขยาย หรือตั้งหน่วยงานอิสระและหน่วยงานตรวจสอบเกี่ยวกับสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมาก เช่น ปปช.,กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชน กรมสอบสวนคดีพิเศษ และหน่วยงานต่างๆของกระทรวงยุติธรรม,ผู้ตรวจการรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นต้น ทำให้ตำรวจจะต้องพัฒนาปรับปรุง วิธีการทำงานที่ต้องใช้หลักวิชาการที่เป็นสากลมากขึ้น <br /> ๒.๔)สถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังมั่นคง การท่องเที่ยวยังเป็นรายได้หลักของไทย ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก และจังหวัดสารขันธ์ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติอันดับต้นๆ ของไทย และเป็นสถานที่จัดประชุมระหว่างประเทศแห่งหนี่งของไทย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ยังมีต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลมีเงินมาลงทุน และสนับสนุนในการจัดหาเครื่องมือ เครื่องใช้และการทำงานของตำรวจได้มากขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ให้เทียบเท่าระดับสากล<br /> ๓) จุดอ่อน<br /> ๓.๑) ภ.จว.สารขันธ์ ได้รับงบประมาณจำกัดจากส่วนกลางน้อยมาก โดยเฉพาะงบลงทุนในการจัดหาครุภัณฑ์ เช่นคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี่สารสนเทศ รถยนต์ ซึ่งพัฒนาเร็วมาก ทำให้ต้องพึ่งพาหน่วยงานอื่น เช่น องค์การบริหารท้องถิ่นต่าง ๆ ทำให้ขาดความเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหน่วยหนึ่ง<br /> ๓.๒) ข้าราชการตำรวจส่วนมากยังมีค่านิยม และวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดติดกับค่านิยมแบบเดิม ที่เน้นระบบอุปถัมภ์ และยึดตัวบุคคล มากกว่าหลักการ ยึดประสบการณ์จากการทำงานใน<br />อดีตเพียงอย่างเดียว โดยปฏิเสธการนำหลักวิชาการมาประยุกต์ ขาดวิสัยทัศน์ ทำงานเพียงแค่หวังผลประโยชน์ระยะสั้น ขาดจิตสำนึกต่อส่วนรวม ทำให้ยากต่อการพัฒนา และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ปรับกระบวนทัศน์ รวมถึงวิธีการทำงาน<br /> <br /> <br /><br /><br /> ๔) จุดแข็ง<br /> ๔.๑) หน่วยงานตำรวจ เช่น ภ.จว.สารขันธ์และสถานีตำรวจ....... ยังได้รับความเชื่อถือในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่สามารถขจัดความเดือดร้อนของประชาชนได้ แม้ว่าในยามปกติ หรือไม่มีปัญหาประชาชนจะไม่ชอบตำรวจก็ตาม<br /> ๔.๒ ) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการปรับโครงสร้างใหม่ที่เหมาะกับงานมากขึ้น และได้มีการกระจายอำนาจทางการบริหารให้ ตำรวจภูธรภาค ๗ และตำรวจภูธรจังหวัดสารขันธ์ มากขึ้น ทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้นในการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ <br /> ๔.๓) สถานีตำรวจภูธร..........เป็นหน่วยงานที่มีกำลังพลจำนวนมากที่สุด และมีเอกภาพในการบังคับบัญชามากที่สุดในอำเภอเมืองจังหวัดสารขันธ์<br /> เมื่อนำ จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรค มาวิเคราะห์น้ำหนักแล้ว จะเห็นได้ว่า โอกาสนั้น ยังเอื้อต่อการดำเนินงานของสถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์ แต่ เมื่อเทียบจุดอ่อนจุดแข็งแล้วสถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์ จะต้องพัฒนาตนเองเพื่อ ลดจุดอ่อน และใช้จุดแข็งร่วมเผชิญกับโอกาส ที่ท้าทาย การดำเนินงานต่อไป <br /> <br /> ๒. วิสัยทัศน์<br /> สถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์ เป็นหน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อย บังคับใช้กฎหมายที่เป็นที่ศรัทธาของประชาชนและมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล <br /><br />๓. พันธกิจ<br />๑)ถวายความปลอดภัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์อย่างสมพระเกียรติและปลอดภัยสูงสุด<br /> ๒)รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงความสงบของชุมชน สังคม<br /> ๓) พัฒนาระบบบริหารการจัดการเชิงบูรณาการ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ เกิดประสิทธิภาพ<br /> ๔)ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์กรโดยประชาชนเป็นศูนย์กลางและมีส่วนร่วม<br /> ๕)พัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ ขวัญและกำลังใจ <br /> ๖) นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน <br /> <br />๔. ยุทธศาสตร์<br /> สถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์ ได้นำแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๒๕๕๑ ของตำรวจภูธรจังหวัดสารขันธ์ แผนพัฒนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๔ แผนยุทธศาสตร์ตำรวจภูธรภาค ๗ พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๑ ยุทธศาสตร์ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง และยุทธศาสตร์ของจังหวัดสารขันธ์ รวมทั้งนโยบายการบริหารราชการตำรวจภูธรภาค ๗ ของพลตำรวจโท วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ มาเป็นกรอบในการกำหนดแผนปฏิบัติราชการของสถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์ เพื่อให้เป็นเครื่องมือนำพาไปสู่เป้าหมายและเป้าประสงค์ อย่างฉลาดและมีประสิทธิภาพได้ ๘ ยุทธศาสตร์ดังนี้ <br /> ๔.๑ ยุทธศาสตร์ด้านกิจการพิเศษ <br /> ๔.๒ ยุทธศาสตร์ด้านอำนวยความยุติธรรม<br /> ๔.๓ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารเพื่อการบริการประชาชนที่ดี<br /> ๔.๔ ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของชาติ<br /> ๔.๕ ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันอาชญากรรม<br /> ๔.๖ยุทธศาสตร์ด้านสืบสวนปราบปรามอาชญากรรม<br /> ๔.๗ ยุทธศาสตร์ด้านการจราจร<br /> ๔.๘ ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการที่ดี<br /> ๔.๘.๑ ยุทธศาสตร์ย่อยด้านการตรวจราชการมุ่งผลสัมฤทธิ์<br /> ๔.๘.๒ ยุทธศาสตร์ย่อยด้านพัฒนาตำรวจและครอบครัว<br /> ๔.๘.๓ ยุทธศาสตร์ย่อยด้านการพัฒนาหน่วยงานและองค์กร<br /><br /><br /> ๕. การติดตามและประเมินผล <br />การติดตามและประเมินผลมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของการปฏิบัติงานตามแผนงาน, งาน โครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่หน่วยได้กำหนดไว้ ทั้งยังเพื่อควบคุมให้ทุกหน่วยดำเนินงานตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้ในแผน นอกจากนี้เพื่อให้เกิดการกระตุ้นและจูงใจให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานให้ได้ผลงานตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ <br /> ๕.๑ ขอบเขตการรายงาน<br />ให้แต่ละงานในสถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์ การรายงานผลการดำเนินการของหน่วยงาน ตามแผนงาน โครงการ กิจกรรม ตามยุทธศาสตร์ทั้ง ๗ ยุทธศาสตร์ และตามตัวชี้วัดในคำรับรองปฏิบัติราชการของหน่วย โดยรายงานจะต้องปรากฏผลการปฏิบัติ, ผลผลิต, ผลลัพธ์ และตัวชี้วัด ตามที่หน่วยได้ดำเนินการในรอบ ๑ เดือนทุกเดือน (นับจากแผนนี้มีผลบังคับใช้) ให้แก่งานอำนวยการ สถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์ ก่อนวันที่ ๒ ของทุกเดือน<br /> <br /><br /><br />----------------------------------------------------------<br /><br /><br /> ตารางเวลาการดำเนินการตามโครงการในแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ.2551 ของ สถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์<br />ยุทธศาสตร์ ชื่อ โครงการ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ เวลาดำเนินการ<br /> 2550 2551<br /> ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br />1.ด้านกิจการพิเศษ 1.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพถวายความปลอดภัย 600,000 บาท กก.อก. <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br />2.ด้านอำนวยความยุติธรรม 1.โครงการจัดหาวัสดุตรวจสถานที่เกิดเหตุ 400,000 บาท กก.อก. <br /> <br /> <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br />ยุทธศาสตร์ ชื่อ โครงการ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ เวลาดำเนินการ<br /> 2550 2551<br /> ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br /> <br /> <br /> <br /> <br />3.ด้านการบริหารเพื่อบริการที่ดีแก่ประชาชน 1. โครงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ 100,000 บาท กก.อก. <br /> <br /> <br /> <br /> <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ยุทธศาสตร์ ชื่อ โครงการ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ เวลาดำเนินการ<br /> 2550 2551<br /> ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br /> <br /> <br /> <br />4.ด้านความมั่นคงของชาติ 1.โครงการตั้ง ศปก.รักษาความสงบเลือกตั้ง 80,000 บาท กก.อก,สภ <br /><br />ยุทธศาสตร์ ชื่อ โครงการ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ เวลาดำเนินการ<br /> 2550 2551<br /> ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br /> <br /> <br /> <br />5.ด้านการป้องกันอาชญากรรม 1.โครงการประกวดตู้ยาม 80,000 บาท กก.อก. <br /><br /><br /><br /><br /><br />ยุทธศาสตร์ ชื่อ โครงการ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ เวลาดำเนินการ<br /> 2550 2551<br /> ต.ค. พ.ย. ธ.ค.<br />ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br />6.ด้านสืบสวนปราบปราม 1.โครงการจัดทำฐานข้อมูลบุคคลพ้นโทษ ภ.จว. 800,000 บาท ศทส.ภ.จว. <br /> <br /> <br /><br />ยุทธศาสตร์ ชื่อ โครงการ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ เวลาดำเนินการ<br /> 2550 2551<br /> ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br />7.ด้านจราจร 1.โครงการถนนสายหลัก 600,000 บาท ทุก สภ. <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br />8 .1ด้านตรวจราชการมุ่งผลสัมฤทธิ์ 1.โครงการพัฒนาวินัยตำรวจ 400,000 บาท กก.อก. <br /> <br /><br /><br />ยุทธศาสตร์ ชื่อ โครงการ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ เวลาดำเนินการ<br /> 2550 2551<br /> ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br />8.2.ด้านพัฒนาตำรวจและครอบครัว 1.โครงการร้านคุ้ม 600,000 บาท ทุก สภ. <br /> <br />โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์สถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์<br />สอดคล้องกับแผนพัฒนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2550 – 2554<br />ด้านอาคาร ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง<br />.........................<br /><br />1. หลักการและเหตุผล <br />อาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรตำบลเมืองสารขันธ์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม สร้างแล้วเสร็จและเปิดทำการเมื่อปี 1 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2546 รูปแบบอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 2 ชั้น ที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ว่างของสถานีเพื่อประโยชน์สำหรับการใช้สอยมาตลอด พันตำรวจโท นภดล รุ่งสาคร สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรตำบลเมืองสารขันธ์เล็งเห็นความสำคัญ จึงมีนโยบายให้สร้างที่จอดรถสำหรับผู้มาติดต่อราชการ, ที่เก็บรักษารถของกลางในคดี, ที่เก็บรถที่เกิดอุบัติเหตุ, ที่เก็บรถที่ยึดไว้เพื่อทำการตรวจสอบ, ปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อเป็นร่มเงาบังแสงแดดที่ส่องมาทำให้เกิดความร่มเย็น และปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพื่อความสวยงาม และได้ปรับปรุงสถานที่ให้ดูสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย และเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อราชการที่สถานีตำรวจเป็นอย่างดี<br /><br />2. วัตถุประสงค์<br />2.1 เพื่อสนองนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามแผนพัฒนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ<br />พุทธศักราช 2550 – 2554 ด้านอาคาร ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง<br /> 2.2 เพื่อให้เป็นที่ร่มเงาบังแสงแดด และเกิดความร่มเย็น แก่ประชาชน และข้าราชการตำรวจ<br /> 2.3 เพื่อความสวยงาม ร่มเย็น กับผู้พบเห็น ที่มาใช้บริการที่สถานี และผ่านไปมา<br />2.4 เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการปรับปรุงพัฒนากับที่พักสายตรวจตำบลต่อไป<br />2.5 เพื่อความสะดวก สบาย แก่ประชาชนผู้มาประชุม อบรมสัมมนาที่สถานี<br /><br />3. เป้าหมาย<br />ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ ที่สถานี และประชาชนทั่วไปที่มาใช้บริการที่สถานี<br /><br />4. วิธีดำเนินการ<br />4.1 ประชุมชี้แจงข้าราชการตำรวจในสังกัด เพื่อวางนโยบายในการปรับปรุงภูมิทัศน์ และ<br />ดำเนินการตามโครงการ<br />4.2 แบ่งมอบหน้าที่ในการดำเนินการ โดยนำกิจกรรม 5 ส. มาเป็นแบบอย่างในการดำเนินการ <br />จัดกลุ่มในการรับผิดชอบพื้นที่ในการดูแล<br /> 4.3 ดำเนินการก่อสร้างและปลูกต้นไม้โดยใช้แรงงานข้าราชการตำรวจ<br /><br />5. พื้นที่ดำเนินการ<br />บริเวณโดยรอบของอาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรตำบลเมืองสารขันธ์<br />/ 2 /<br /><br /><br />6. ระยะเวลาดำเนินการ<br />เริ่มตั้งแต่ วันที่ 15 ตุลาคม 2550 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550<br /><br />7. งบประมาณ<br /> ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชน<br /><br />8. ผู้รับผิดชอบโครงการ<br />พันตำรวจโท นภดล รุ่งสาคร สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรตำบลเมืองสารขันธ์<br /><br />9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br />9.1 ประชาชนได้รับความสะดวก สบาย ที่มาติดต่อราชการและรับบริการที่สถานี<br />9.2 เกิดความร่มเย็น สวยงาม และเป็นระเบียบเรียบร้อย แก่ผู้พบเห็นทั้งที่มาใช้บริการติดต่อราชการและที่ผ่านไปมา<br />9.3 เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในการเก็บรักษา ดูแลรถที่ยึดไว้เพื่อตรวจสอบ, รถที่เป็นของกลางในคดี และรถที่เกิดอุบัติเหตุ<br /><br />....................................<br /><br /> <br /><br />พันตำรวจโท นภดล รุ่งสาคร ผู้อนุมัติโครงการ<br /> ( นภดล รุ่งสาคร )<br /> สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์<br /> <br />พันตำรวจตรี ธนพล บริสุทธิ์ ผู้เสนอโครงการ<br /> ( ธนพล บริสุทธิ์ )<br /> สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสารขันธ์<br /><br /><br /><br /> <br /> <br /><br /> <br /> <br /> <br /> <br />8 .3ด้านการพัฒนาองค์กร-หน่วยงาน 1.โครงการจัดหาวัสดุสื่อสาร 400,000 บาท กก.อก.Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-89211791032009163142010-07-21T02:45:00.000-07:002010-07-21T02:48:02.603-07:00คู่มือการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของสถานีตำรวจหลักการและเหตุผล<br /> แผนปฏิบัติการ หรือ แผนปฏิบัติราชการ ตามคู่มือนี้ ให้ถือว่าเป็นชื่อเรียกอย่างเดียวกัน เนื่องจากตามตำราหรือเอกสารทางวิชาการทั่วไป จะเรียกแผนทางด้านการบริหารที่กำหนดรายละเอียดโครงการ เป้าหมาย การทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ นี้ว่า แผนปฏิบัติการ แต่ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พุทธศักราช 2546 มาตรา ๙กำหนดไว้ว่า <br /> “(๑) ก่อนจะดำเนินการตามภารกิจใด ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติราชการไว้เป็นการล่วงหน้า <br /> (๒) การกำหนดแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการตาม (๑) ต้องมีรายละเอียดของขั้นตอน ระยะเวลา และงบประมาณ ที่จะใช้ในการดำเนินงานของแต่ละขั้นตอน เป้าหมายของภารกิจ ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ และตัวชี้วัดผลสำเร็จของภารกิจ...” <br /> และในมาตรา 16 กำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติการ 2 ประเภท ดังนี้<br />1. แผนปฏิบัติการ 4 ปี โดยต้องสนองต่อนโยบายและกลยุทธ์ของรัฐบาลและหน่วยงานต้นสังกัด<br />2. แผนปฏิบัติราชการประจำปี (จัดทำตามปีงบประมาณ)โดยให้ระบุสาระสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติของส่วนราชการดังนี้<br />- เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน<br />- ประมาณการรายได้และรายจ่าย และทรัพยากรอื่นที่ต้องใช้<br />แผนปฏิบัติการของหน่วยงานประกอบด้วยรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับแผนดำเนินการ<br />1. ผลผลิตที่หน่วยงานกำหนด<br />2. เป้าหมายการให้บริการหน่วยงาน<br />3. ตัวชี้วัดผลผลิต (ด้านปริมาณ,ด้านคุณภาพ,ต้นทุนและระยะเวลา)<br />4. งบประมาณที่ใช้ <br /> ในการจัดทำงบประมาณและการบริหารงบประมาณตามนโยบายภาครัฐ กำหนดให้เป็นไปตามระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Performance Base Budgeting : SPBB) ดังนั้นหน่วยงานจะต้องจัดทำแผนการให้บริการ กำหนดเป็นผลผลิตและตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ในเชิงปริมาณ คุณภาพ เวลาและต้นทุน ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของแต่ละปี และใช้ในการจัดทำข้อตกลงการจัดทำผลผลิต (SDA) ระหว่างหน่วยงานหรือคำรับรองการปฏิบัติราชการต่อไป<br /> ดังนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค ตำรวจภูธรจังหวัด และหน่วยงานตำรวจทุกระดับ รวมทั้ง สถานีตำรวจ จะต้องจัดทำแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ โดยมีสาระของการให้บริการเดิมและสาระของการให้บริการใหม่ที่รัฐ หรือหน่วยงานต้นสังกัด เช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค หรือนโยบายของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับโดยตรง เพิ่มเติมนโยบายใหม่เข้ามา จัดทำเป็นงานหรือโครงการ โดยมีกิจกรรมแสดงเป็นรายละเอียดการทำงาน เพื่อกำหนดให้กิจกรรมเป็นตัวแทนของศูนย์ต้นทุน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ สำนักงบประมาณจะกำหนดให้นำค่าใช้จ่ายของศูนย์ต้นทุนดังกล่าวไปผ่านกระบวนการคำนวณต้นทุนกิจกรรมและต้นทุนผลผลิตต่อไป เพื่อนำไปใช้สำหรับวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการตามแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ และใช้ต้นทุนผลผลิตและต้นทุนกิจกรรมสำหรับประมาณการ การจัดทำงบประมาณของหน่วยงานต่อไป ตลอดจนใช้พัฒนาต้นทุนของสถานีตำรวจ และ ของทุกหน่วยงาน เพื่อความเพียงพอสำหรับการจัดทำผลผลิตที่มีบริบทที่แตกต่างกันไป<br /><br />ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ<br />1. เพื่อใช้เป็นกรอบ ทิศทาง และแนวทางในการพัฒนาหน่วยงาน<br />2. เพื่อใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการหน่วยงาน<br />3. ใช้เป็นกรอบบริหารจัดการงบประมาณของหน่วยงาน<br />4. เพื่อให้หน่วยงานมีกรอบในการวางแผนและตัดสินใจในการกำหนดทางเลือกในการบริหารงบประมาณ<br />5. เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีต่อไป<br />6. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น<br /><br />ส่วนประกอบของแผนปฏิบัติการ<br />1. ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เป็นข้อมูลพื้นฐานของสถานีตำรวจทั้งหมด<br />2. ส่วนที่ 2 ทิศทางการดำเนินงาน ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ เป้าหมายผลผลิต ตัวชี้วัด (ซึ่งควรต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัดที่ผู้บังคับบัญชาได้จัดทำขึ้นตามระบบคำรับรองปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ)<br />3. ส่วนที่ 3 สรุปโครงการ/งบประมาณ<br />4. ส่วนที่ 4 รายละเอียดโครงการตามกลยุทธ์<br />ภาคผนวก<br /><br /><br />กระบวนการบริหารงานตามแผนปฏิบัติการ<br />1. วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค(SWOT Analysis) หน่วยงานทั้งสภาพแวดล้อมภายนอกหน่วยงานและสภาพแวดล้อมภายในหน่วยงาน<br />2. กำหนดทิศทางของหน่วยงานเพื่อให้ได้วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br />3. กำหนดยุทธศาสตร์แต่ละด้าน ให้ออกมาเป็นแผนงาน(กลยุทธ์) โครงการ กิจกรรม งบประมาณ<br />4. ดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรมที่กำหนด (โดยผ่านความเห็นชอบของหัวหน้าหน่วยในที่นี้คือ ผู้กำกับการ หรือ สารวัตรใหญ่ สารวัตร แล้วแต่ระดับของสถานีตำรวจ)<br />5. การควบคุมการดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรมที่กำหนด<br />6. การติดตาม กำกับ ประเมินผล ทบทวน โครงการ/กิจกรรม เพื่อประเมินสภาพหน่วยงานหลังจากการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรมแล้ว<br />7. พัฒนา ปรับปรุงตามผลงานจากการติดตามประเมินผล<br /><br />ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติราชการกับการดำเนินงาน<br />1. การจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) หรือแผนปฏิบัติราชการ มีขั้นตอนดังนี้<br /> กำหนดผลลัพธ์ (Outcome or Goals) หน่วยงานต้องกำหนดผลลัพธ์ของหน่วยงานที่ต้องการ<br /> ผลผลิต (Outputs or Objective) หมายถึงผลผลิตที่หน่วยงานต้องการ กระบวนการ (Process) กำหนดกระบวนการที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลผลิตและผลลัพธ์ที่กำหนด<br /> ทรัพยากร (Inputs) หมายถึงทรัพยากรต่างๆที่หน่วยงานใช้ในการดำเนินตามกระบวนการที่กำหนด(เงิน คน วัสดุอุปกรณ์)<br />2. การดำเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้<br />ทรัพยากร กระบวนการ ผลผลิต ผลลัพธ์<br /><br /><br />การดำเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้<br />1. การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงานและสภาพแวดล้อม(โดยวิธี SWOT Analysis)<br />2. กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ โดยนำมาจากยุทธศาสตร์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ของตำรวจภูธรภาค ยุทธศาสตร์ของจังหวัด และยุทธศาสตร์ของตำรวจภูธรจังหวัด ปรับให้สอดคล้องกับกำหนดหน้าที่การงาน หรือภารกิจของหน่วยหรือสถานีตำรวจ<br />3. กำหนดเป้าหมาย โดยกำหนดเป็นตัวชี้วัด โดยนำมาจากตัวชี้วัดของ ตร.ตำรวจภุธรภาค ตำรวจภะรจังหวัดและจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี และของหน่วยเหนือ และปรับปรุงให้ให้เข้ากับสภาพของหน่วยงานหรือความเหมาะสม<br />4. กำหนดกลยุทธ์ หรือแผนงานให้สอดคล้องกับ เป้าหมาย หรือตัวชี้วัด<br />5. การเขียนรายละเอียดโครงการ/กิจกรรม/งบประมาณ ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และตัวชี้วัด<br />6. การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี เป็นการรวบรวมส่วนต่างๆเป็นแผนปฏิบัติการและการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรม (Implementation)<br />7. การควบคุม กำกับ ติดตามการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรม<br />8. การประเมินผลและการรายงานผล<br /><br /><br />1. การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงาน เพื่อให้ทราบจุดอ่อนและจุดแข็งของหน่วยงานและวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนและการส่งเสริมปรับปรุงจุดแข็งของหน่วยงาน<br /> การฝึกปฏิบัติ <br />1. แบ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็น 5 กลุ่ม (5 งานของสถานีตำรวจ คือ งานอำนวยการ,ป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวน จราจร) ให้เวลาในการประชุม 50 นาที ให้อภิปรายในเรื่องจุดอ่อน และจุดแข็งของหน่วยงาน วิธีการแก้ปัญหาจุดอ่อนและวิธีการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็งของหน่วยงานตามตารางดังนี้ (สามารถหลอมรวมข้อความได้)<br /><br />จุดอ่อน วิธีการปรับปรุงจุดอ่อน จุดแข็ง การส่งเสริมพัฒนาจุดแข็ง<br /><br /><br /> <br /><br />2. นำผลจากการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง มากำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ (นำวิธีแก้ไขจุดอ่อนจุดแข็ง)<br />การกำหนดวิสัยทัศน์ เป็นการแสดงถึงความต้องการให้สถานีตำรวจเป็นรูปธรรมได้ในอนาคต โดยย้อนมองอดีต มองปัจจุบัน วาดฝันอนาคตและนำมากำหนดเป็นวิสัยทัศน์(ใบงานที่ 2)<br />วิสัยทัศน์สถานีตำรวจ.............................................................................................................................................<br />.........................................................................................................................................................................<br />การกำนดพันธกิจ เป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่หรือกิจกรรมที่จะทำให้สถานีตำรวจดำเนินไปกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดได้<br />พันธกิจ 1.......................................................................................................................................................<br /> 2........................................................................................................................................................<br /> 3.......................................................................................................................................................<br />การกำหนดเป้าประสงค์ เป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่หรือกิจกรรมที่จะทำให้สถานีตำรวจดำเนินไปกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้<br />เป้าประสงค์ 1............................................................................................................................................. 2.............................................................................................................................................<br /> 3..............................................................................................................................................<br /><br /><br />3. กลุ่มย่อยนำเสนอผลการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง วิธีการพัฒนาปรับปรุง การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ<br /> เป้าประสงค์ ต่อกลุ่มใหญ่ ช่วยกันปรับปรุงหลอมรวมข้อความให้สอดคล้องกันและสรุปวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br />วิสัยทัศน์สถานีตำรวจ.............................................................................................................................................<br />.........................................................................................................................................................................<br />พันธกิจ 1.......................................................................................................................................................<br /> 2........................................................................................................................................................<br /> 3.......................................................................................................................................................<br />เป้าประสงค์ 1............................................................................................................................................. 2.............................................................................................................................................<br /> 3..............................................................................................................................................<br /><br />2. การสร้างประเด็นยุทธศาสตร์ของ สถานีตำรวจ กำหนดตัวชี้วัดและแนวทางในการดำเนินการ<br />แบ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็น 5 กลุ่ม ( 5 งานของสถานีตำรวจ) ให้ศึกษาประเด็นยุทธศาสตร์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค ตำรวจภูธรจังหวัด ต้นสังกัด กำหนดตัวชี้วัดตามกลยุทธ์และแนวทางในการดำเนินการ (กลยุทธ์ ตัวชี้วัด และแนวทางการดำเนินงาน) ให้วิเคราะห์เฉพาะที่หน่วยงานสามารถปฏิบัติได้) แล้วนำมาเป็นกลยุทธ์ของหน่วยงาน กำหนดตัวชี้วัดของหน่วยงาน และแนวทางในการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของหน่วยงาน (ใบงานที่ 3)<br />กลยุทธ์ที่ 1 ......................................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br /> ตัวชี้วัด............................................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br /> แนวทางดำเนินงาน........................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br />3. การวิเคราะห์งบประมาณของหน่วยงาน โดยคาดการณ์จากจำนวนข้าราชการตำรวจ และดูจากการจัดสรรงบประมาณจาก ตำรวจภูธรจังหวัดให้แก่สถานีตำรวจในปีที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์หรือแนวทาง (ตามใบงานที่ 4)<br /> 3.1 การวิเคราะห์งบประมาณสำหรับแผนปฏิบัติการระยะปานกลาง (3-5 ปี) เป็นการคาดถึงจำนวนงบประมาณที่จะได้รับในแต่ละปี โดยใช้จำนวนข้าราชการตำรวจเป็นตัวกำหนดแล้วนำมาคูณกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จะได้รับในแต่ละระดับชั้น โดยวิธีการดังนี้<br /> - คาดการณ์จากจำนวนข้าราชการตำรวจที่สถานีตำรวจได้คาดว่าจะได้รับจัดสรร หรือโยกย้ายมา<br />- คาดการณ์โดยคำนึงถึงปัจจัยภายใน ขีดความสามารถที่รับได้ จำนวนตำรวจ ขนาดหรือความเจริญของพื้นที่หรือภารกิจ เช่น มีการเปิดโรงงาน ศูนย์การค้า หรือศูนย์ราชการใหม่ในพื้นที่<br />- คาดการณ์โดยคำนึงถึงปัจจัยภายนอก ความนิยม จำนวนประชากรในชุมชน สภาพเศรษฐกิจ สภาพชุมชน<br />3.2 การวิเคราะห์งบประมาณสำหรับแผนปฏิบัติการประจำปี ให้ใช้จำนวนข้าราชการตำรวจในปีงบประมาณนั้นๆ(ช่วงตุลาคม) มาเป็นตัวกำหนด แล้วนำมาคูณกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จะได้รับ ก็จะทำให้ทราบถึงรายรับของสถานีตำรวจในปีงบประมาณนั้นๆ รวมถึงรายรับด้านอื่นที่สถานีตำรวจจะได้รับค่อนข้างแน่นอน เช่นเงินอุดหนุนสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจจะได้รับจัดสรรจาก ตร.โดยตรงเดือนละ20,000-50,000 บาท แล้วแต่ขนาดของสถานีตำรวจ หรือเงินงบประมาณ หรือน้ำมันเชื้อแพลิง ที่จะได้รับจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br /><br />4. การจัดทำโครงการ/กิจกรรม มี 2 แบบ<br /> 4.1 แบบประเพณีนิยม เป็นการเขียนโครงการตามความถนัดหรือความต้องการของบุคคล ผู้บริหารหรือสถานีตำรวจ เป็นหลัก โดยไม่มีการยึดกลยุทธ์ของแต่ละหน่วยงานต้นสังกัด<br /> 4.2 แบบเหตุผลสัมพันธ์ เป็นการเขียนโครงการที่ผสมผสาน ความต้องการของสถานีตำรวจและกลยุทธ์ของหน่วยงานต้นสังกัด โดยการนำกลยุทธ์ของต้นสังกัดมาปรับให้เข้ากับความต้องการของสถานีตำรวจ<br />หัวข้อการเขียนโครงการ ประกอบด้วย (ใบงานที่ 5)<br />1. ชื่อโครงการที่ต้องดำเนินการ ผู้รับผิดชอบ กลยุทธ์ที่ ลักษณะโครงการ งานที่รับผิดชอบ ผู้รับผิดชอบ<br />ระยะเวลาดำเนินการ<br />2. หลักการและเหตุผล ความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนั้นๆ ความเป็นมา<br />3. วัตถุประสงค์โครงการ แสดงให้เห็นถึงผลที่จะเกิดหลังจากทำโครงการนี้<br />4. เป้าหมายของโครงการ เป็นการกำหนดผลงานของโครงการ โดยให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด<br /> ด้านปริมาณ แสดงเป้าหมายเป็นจำนวน<br /> ด้านคุณภาพ แสดงถึงลักษณะเฉพาะอย่างของผลงาน<br />5. วิธีดำเนินการ แสดงถึงวิธีดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด จะแสดงถึงลำดับขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม (Activities plan)<br />6. งบประมาณ งบประมาณที่จะใช้ในโครงการและรายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละด้าน แต่ละรายการ แหล่ง<br />รายการงบประมาณ(กิจกรรม) งบประมาณทั้งสิ้น ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าครุภัณฑ์<br /><br /> <br />รวม <br /><br />7. การวัดและประเมินผล เป็นการประเมินผลสำเร็จของโครงการ โดยการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีการประเมิน เครื่องมือที่ใช้วัด<br /><br />ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัด/ประเมินผล เครื่องมือวัด ผู้ควบคุม<br /><br /><br /><br /> <br /><br />8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการคาดคะเนผลของโครงการ หลังจากดำเนินกิจกรรมแล้ว<br /> - ด้านปริมาณ<br /> - ด้านคุณภาพ<br />9. ผู้เสนอโครงการ - เช่น สว.ผู้รับผิดชอบงาน<br /> ผู้เห็นชอบโครงการ –เช่น รองผู้กำกับการหัวหน้างานสถานีตำรวจ <br /> ผู้อนุมัติโครงการ - ควรเป็น หัวหน้าสถานีตำรวจ ที่เป็นผู้อนุมัติโครงการ<br /><br /><br /><br /><br />\<br /><br /><br />วิธีการจัดทำโครงการ <br />1. นำแนวทางดำเนินงานจากขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์หน่วยงานมาบูรณาการเข้ากับวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนหรือการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็งของหน่วยงาน เพื่อให้เป็นโครงการ/กิจกรรม ตามความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาและสนับสนุนการจัดกิจกรรมของสถานีตำรวจ<br />2. นำแนวทางที่ได้หลังจากที่ได้บูรณาการแล้วมาเขียนโครงการตามรูปแบบที่กำหนด<br />3. นำเสนอโครงการเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติจากหัวหน้างานโดยผ่านหัวหน้าสายงานที่รับผิดชอบ<br />4. นำเสนอโครงการในที่ประชุมผู้บริหารสถานีตำรวจ เพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการ หรือพิจารณาปรับปรุงโครงการให้เหมาะสม หรือถ้าสถานีตำรวจใด หัวหน้าสถานีตำรวจใช้ระบบอนุมัติงบประมาณรวมศูนย์ที่ตัว หัวหน้าสถานีตำรวจตัดสินใจเพียงคนเดียว ก็ควรต้องให้ หัวหน้าสถานีตำรวจอนุมัติงบประมาณ หรือถ้าไม่มีงบประมาณ ก็ควรจะปรึกษาหัวหน้าสถานีตำรวจว่าจะหางบประมาณมาได้จากช่องทางใด เช่น ขอสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br />5. พิจารณาโครงการตามความจำเป็นและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของหน่วยงาน พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการตามความเหมาะสมภายใต้กรอบวงเงินที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้าแล้ว<br />6. เสนอโครงการที่ได้รับพิจารณาให้ผู้มีอำนาจเห็นชอบโครงการและอนุมัติโครงการ และเรียงลำดับความสำคัญของโครงการ (ในกรณีที่โครงการนั้น ต้องใช้เงินงบประมาณจากส่วนอื่น นอกเหนือจากของสถานีตำรวจ ก็ควรให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานที่จัดสรรเงินเป็นผู้อนุมัติโครงการ หรือให้เป็นเจ้าของโครงการ เพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบงานงบประมาณ และหรือระเบียบการพัสดุ)<br />7. นำโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วรวบรวมจัดทำรูปเล่ม<br />8. ดำเนินการตามกิจกรรม/โครงการ ที่ได้รับพิจารณา<br /><br />การดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 1. งานอำนวยการของสถานีตำรวจ จัดสรรงบประมาณให้กับโครงการตามความต้องการจำเป็นเร่งด่วน นำเสนอหัวหน้าสถานีตำรวจ ให้ความเห็นชอบและแจ้งให้เจ้าของโครงการทราบ<br /> 2. ผู้รับผิดชอบโครงการขออนุมัติดำเนินการตามโครงการ โดยทำบันทึกแนบโครงการผ่านงานอำนวยการ ตรวจสอบความถูกต้องของโครงการและงบประมาณ<br /> 3. เสนอขออนุมัติการดำเนินการต่อหัวหน้าสถานีตำรวจ<br /> 4. ดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 5. ผู้บริหาร เช่น หัวหน้าสถานีตำรวจ รองผู้กำกับการ หรือรองหัวหน้าสถานีตำรวจ หัวหน้าสายงาน ติดตามการดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 6. เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการสรุปและรายงานผลการดำเนินการตามแบบสรุปโครงการ<br /><br /><br /><br />แบบสรุปรายงานผลการดำเนินงานโครงการ<br /><br />1. ชื่อยุทธศาสตร์ หรือกลยุทธ์................................................................................................................................................<br />2. ชื่อโครงการ..............................................................................................................................................<br />ระยะเวลา......................................................ผู้รับผิดชอบ........................................................................<br />3. วัตถุประสงค์.............................................................................................................................................<br />ผลที่คาดหวัง..............................................................................................................................................<br />4. กิจกรรม....................................................................................................................................................<br />5. ตัวชี้วัดความสำเร็จ....................................................................................................................................<br />6. ผลที่คาดว่าจะได้รับ..................................................................................................................................<br />7. งบประมาณ..............................................................................................................................................<br />แหล่งงบประมาณ จำนวนที่ได้รับ จำนวนที่ใช้ คงเหลือ หมายเหตุ<br />งบประมาณ ตร./หน่วยเหนือ <br />งบประมาณจากหน่วยงานอื่น <br />เงินนอกงบ <br />รวม <br /><br />8. ผลการดำเนินงาน<br />ผลที่คาดหวัง ผลที่ได้รับ ผลลัพธ์/หน่วย<br />(ร้อยละความสำเร็จ)<br />ด้านปริมาณ ด้านคุณภาพ ด้านปริมาณ ด้านคุณภาพ <br /><br /> <br /><br />9. สรุป...........................................................................................................................................................<br />10. ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ................................................................................................................<br /><br />ลงชื่อ......................................................ผู้รับผิดชอบโครงการ ลงชื่อ.............................................ผู้ประเมินผล<br /> (.....................................................) (............................................)<br />ตำแหน่ง.................................................. ตำแหน่ง หัวหน้าสถานีตำรวจ.............................<br /><br /><br /><br />กลุ่มที่.............................................<br />ใบงานที่ 1 วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งหน่วยงานและวิธีปรับปรุงพัฒนา<br /><br />จุดอ่อน วิธีการปรับปรุงจุดอ่อน จุดแข็ง วิธีการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็ง<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ใบงานที่ 2 การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br /><br /> วิสัยทัศน์...........................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br /> พันธกิจ............................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br /> เป้าประสงค์......................................................................................................................................................<br />....................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................<br /><br /><br />ใบงานที่ 3 การสร้างกลยุทธ์ ตัวชี้วัด แนวทางดำเนินงาน<br /><br />กลยุทธ์ที่ (ข้อความกลยุทธ์).........................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />ตัวชี้วัดกลยุทธ์…………………………………………………………………………………………………………<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />แนวการดำเนินงาน........................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br />ใบงานที่ 4 การวิเคราะห์งบประมาณหน่วยงาน<br /><br />สายงาน ปีงบประมาณ 2550 ปีงบประมาณ 2551 ปีงบประมาณ 2552 ปีงบประมาณ 2553<br /> ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ<br />งานอำนวยการ <br />งานป้องกันปราบปราม <br />งานสืบสวน <br />งานจราจร <br />งานสอบสวน <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br />รวมงบประมาณทั้งสิ้น <br /><br />ใบงานที่ 5 การจัดทำโครงการ/กิจกรรม<br /><br />โครงการ........................................................................................................................................................................<br />กลยุทธ์ที่.......................................................................................................................................................................<br />ลักษณะโครงการ..........................................................................................................................................................<br />งานที่รับผิดชอบ...........................................................................................................................................................<br />ผู้รับผิดชอบ..................................................................................................................................................................<br />ระยะเวลาดำเนินการ....................................................................................................................................................<br />หลักการและเหตุผล.......................................................................................................................................................<br />...................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />วัตถุประสงค์<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />เป้าหมาย<br /> เชิงคุณภาพ.....................................................................................................................................................<br /> เชิงปริมาณ.....................................................................................................................................................<br />วิธีดำเนินการ<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br /><br />แผนการดำเนินงาน<br />กิจกรรม ระยะเวลา ผู้รับผิดชอบ ผู้ควบคุม<br /> ตค พย ธค มค กพ มีค เมย พค มิย กค สค กย <br /><br /><br /><br /> <br /><br />งบประมาณ รวมทั้งสิ้น...............................บาท<br />รายการงบประมาณ(กิจกรรม) งบประมาณทั้งสิ้น ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าครุภัณฑ์<br /><br /><br /> <br />รวม <br /><br />การวัดและประเมินผล<br />ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัด/ประเมินผล เครื่องมือวัด ผู้ควบคุม<br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br />ด้านคุณภาพ.....................................................................................................................................................<br />ด้านปริมาณ....................................................................................................................................................<br /><br /><br /> ผู้เสนอโครงการ ผู้เห็นชอบโครงการ<br />ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ......................................................<br /> (……………………………….) (...................................................)<br />ตำแหน่ง.................................................... ตำแหน่ง.....................................................<br /><br /> ผู้อนุมัติโครงการ<br /> ลงชื่อ.......................................<br /> (........................................)<br /> ตำแหน่ง ผู้กำกับการสถานีตำรวจ................<br /><br />15.สิ่งที่ควรกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการ(โครงการ) <br /><br />1. ระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการให้ชัดเจน <br />2. ระบุจำนวนวันและระยะเวลาในการดำเนินโครงการ<br />3. ระบุกลุ่มและกลุ่มงานที่รับผิดชอบโครงการ<br />4. ระบุเป้าหมายของโครงการทั้งด้านคุณภาพและด้านปริมาณ<br />5. กำหนดมาตรฐานคุณภาพของงาน สถานีตำรวจ ตามตัวชี้วัด โครงการพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อประชาชน <br />6. กำหนดผลผลิตของโครงการ <br />7. งบประมาณที่ใช้ต้องระบุรายการให้ชัดเจน<br />- ค่าตอบแทน - ค่าใช้สอย - ค่าวัสดุ (ระบุรายการ)<br /><br /><br /><br /><br />บรรณานุกรม<br /><br />1. ดร.วัฒนา พัฒนพงษ์ :(2547) BSC และ KPI เพื่อการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน,พิมพ์ดีการพิมพ์,กรุงเทพฯ.<br />2. สำนักงาน กพร.:(2548),การจัดทำแผนปฏิบัติราชการและแผนปฏิบัติราชการประจำปี การติดตามผล<br /> เว็อบไซด์ สำนักงาน กพร.<br />3. สำนักงาน กพร.:(2548),การแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติด้วยการบริหารโครงการ เว็บไซด์สำนักงาน กพร.<br />4. สำนักงบประมาณ : (2552) ,แนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ (พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๕๔)เพื่อการจัดทำงบประมาณ เว็บไซด์ สำนักงบประมาณ<br /> --------------------------------------------------------------<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />หลักการและเหตุผล<br /> แผนปฏิบัติการ หรือ แผนปฏิบัติราชการ ตามคู่มือนี้ ให้ถือว่าเป็นชื่อเรียกอย่างเดียวกัน เนื่องจากตามตำราหรือเอกสารทางวิชาการทั่วไป จะเรียกแผนทางด้านการบริหารที่กำหนดรายละเอียดโครงการ เป้าหมาย การทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ นี้ว่า แผนปฏิบัติการ แต่ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พุทธศักราช 2546 มาตรา ๙กำหนดไว้ว่า <br /> “(๑) ก่อนจะดำเนินการตามภารกิจใด ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติราชการไว้เป็นการล่วงหน้า <br /> (๒) การกำหนดแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการตาม (๑) ต้องมีรายละเอียดของขั้นตอน ระยะเวลา และงบประมาณ ที่จะใช้ในการดำเนินงานของแต่ละขั้นตอน เป้าหมายของภารกิจ ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ และตัวชี้วัดผลสำเร็จของภารกิจ...” <br /> และในมาตรา 16 กำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติการ 2 ประเภท ดังนี้<br />1. แผนปฏิบัติการ 4 ปี โดยต้องสนองต่อนโยบายและกลยุทธ์ของรัฐบาลและหน่วยงานต้นสังกัด<br />2. แผนปฏิบัติราชการประจำปี (จัดทำตามปีงบประมาณ)โดยให้ระบุสาระสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติของส่วนราชการดังนี้<br />- เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน<br />- ประมาณการรายได้และรายจ่าย และทรัพยากรอื่นที่ต้องใช้<br />แผนปฏิบัติการของหน่วยงานประกอบด้วยรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับแผนดำเนินการ<br />1. ผลผลิตที่หน่วยงานกำหนด<br />2. เป้าหมายการให้บริการหน่วยงาน<br />3. ตัวชี้วัดผลผลิต (ด้านปริมาณ,ด้านคุณภาพ,ต้นทุนและระยะเวลา)<br />4. งบประมาณที่ใช้ <br /> ในการจัดทำงบประมาณและการบริหารงบประมาณตามนโยบายภาครัฐ กำหนดให้เป็นไปตามระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Performance Base Budgeting : SPBB) ดังนั้นหน่วยงานจะต้องจัดทำแผนการให้บริการ กำหนดเป็นผลผลิตและตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ในเชิงปริมาณ คุณภาพ เวลาและต้นทุน ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของแต่ละปี และใช้ในการจัดทำข้อตกลงการจัดทำผลผลิต (SDA) ระหว่างหน่วยงานหรือคำรับรองการปฏิบัติราชการต่อไป<br /> ดังนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค ตำรวจภูธรจังหวัด และหน่วยงานตำรวจทุกระดับ รวมทั้ง สถานีตำรวจ จะต้องจัดทำแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ โดยมีสาระของการให้บริการเดิมและสาระของการให้บริการใหม่ที่รัฐ หรือหน่วยงานต้นสังกัด เช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค หรือนโยบายของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับโดยตรง เพิ่มเติมนโยบายใหม่เข้ามา จัดทำเป็นงานหรือโครงการ โดยมีกิจกรรมแสดงเป็นรายละเอียดการทำงาน เพื่อกำหนดให้กิจกรรมเป็นตัวแทนของศูนย์ต้นทุน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ สำนักงบประมาณจะกำหนดให้นำค่าใช้จ่ายของศูนย์ต้นทุนดังกล่าวไปผ่านกระบวนการคำนวณต้นทุนกิจกรรมและต้นทุนผลผลิตต่อไป เพื่อนำไปใช้สำหรับวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการตามแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ และใช้ต้นทุนผลผลิตและต้นทุนกิจกรรมสำหรับประมาณการ การจัดทำงบประมาณของหน่วยงานต่อไป ตลอดจนใช้พัฒนาต้นทุนของสถานีตำรวจ และ ของทุกหน่วยงาน เพื่อความเพียงพอสำหรับการจัดทำผลผลิตที่มีบริบทที่แตกต่างกันไป<br /><br />ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ<br />1. เพื่อใช้เป็นกรอบ ทิศทาง และแนวทางในการพัฒนาหน่วยงาน<br />2. เพื่อใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการหน่วยงาน<br />3. ใช้เป็นกรอบบริหารจัดการงบประมาณของหน่วยงาน<br />4. เพื่อให้หน่วยงานมีกรอบในการวางแผนและตัดสินใจในการกำหนดทางเลือกในการบริหารงบประมาณ<br />5. เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีต่อไป<br />6. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น<br /><br />ส่วนประกอบของแผนปฏิบัติการ<br />1. ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เป็นข้อมูลพื้นฐานของสถานีตำรวจทั้งหมด<br />2. ส่วนที่ 2 ทิศทางการดำเนินงาน ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ เป้าหมายผลผลิต ตัวชี้วัด (ซึ่งควรต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัดที่ผู้บังคับบัญชาได้จัดทำขึ้นตามระบบคำรับรองปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ)<br />3. ส่วนที่ 3 สรุปโครงการ/งบประมาณ<br />4. ส่วนที่ 4 รายละเอียดโครงการตามกลยุทธ์<br />ภาคผนวก<br /><br /><br />กระบวนการบริหารงานตามแผนปฏิบัติการ<br />1. วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค(SWOT Analysis) หน่วยงานทั้งสภาพแวดล้อมภายนอกหน่วยงานและสภาพแวดล้อมภายในหน่วยงาน<br />2. กำหนดทิศทางของหน่วยงานเพื่อให้ได้วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br />3. กำหนดยุทธศาสตร์แต่ละด้าน ให้ออกมาเป็นแผนงาน(กลยุทธ์) โครงการ กิจกรรม งบประมาณ<br />4. ดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรมที่กำหนด (โดยผ่านความเห็นชอบของหัวหน้าหน่วยในที่นี้คือ ผู้กำกับการ หรือ สารวัตรใหญ่ สารวัตร แล้วแต่ระดับของสถานีตำรวจ)<br />5. การควบคุมการดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรมที่กำหนด<br />6. การติดตาม กำกับ ประเมินผล ทบทวน โครงการ/กิจกรรม เพื่อประเมินสภาพหน่วยงานหลังจากการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรมแล้ว<br />7. พัฒนา ปรับปรุงตามผลงานจากการติดตามประเมินผล<br /><br />ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติราชการกับการดำเนินงาน<br />1. การจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) หรือแผนปฏิบัติราชการ มีขั้นตอนดังนี้<br /> กำหนดผลลัพธ์ (Outcome or Goals) หน่วยงานต้องกำหนดผลลัพธ์ของหน่วยงานที่ต้องการ<br /> ผลผลิต (Outputs or Objective) หมายถึงผลผลิตที่หน่วยงานต้องการ กระบวนการ (Process) กำหนดกระบวนการที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลผลิตและผลลัพธ์ที่กำหนด<br /> ทรัพยากร (Inputs) หมายถึงทรัพยากรต่างๆที่หน่วยงานใช้ในการดำเนินตามกระบวนการที่กำหนด(เงิน คน วัสดุอุปกรณ์)<br />2. การดำเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้<br />ทรัพยากร กระบวนการ ผลผลิต ผลลัพธ์<br /><br /><br />การดำเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้<br />1. การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงานและสภาพแวดล้อม(โดยวิธี SWOT Analysis)<br />2. กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ โดยนำมาจากยุทธศาสตร์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ของตำรวจภูธรภาค ยุทธศาสตร์ของจังหวัด และยุทธศาสตร์ของตำรวจภูธรจังหวัด ปรับให้สอดคล้องกับกำหนดหน้าที่การงาน หรือภารกิจของหน่วยหรือสถานีตำรวจ<br />3. กำหนดเป้าหมาย โดยกำหนดเป็นตัวชี้วัด โดยนำมาจากตัวชี้วัดของ ตร.ตำรวจภุธรภาค ตำรวจภะรจังหวัดและจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี และของหน่วยเหนือ และปรับปรุงให้ให้เข้ากับสภาพของหน่วยงานหรือความเหมาะสม<br />4. กำหนดกลยุทธ์ หรือแผนงานให้สอดคล้องกับ เป้าหมาย หรือตัวชี้วัด<br />5. การเขียนรายละเอียดโครงการ/กิจกรรม/งบประมาณ ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และตัวชี้วัด<br />6. การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี เป็นการรวบรวมส่วนต่างๆเป็นแผนปฏิบัติการและการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรม (Implementation)<br />7. การควบคุม กำกับ ติดตามการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรม<br />8. การประเมินผลและการรายงานผล<br /><br /><br />1. การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงาน เพื่อให้ทราบจุดอ่อนและจุดแข็งของหน่วยงานและวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนและการส่งเสริมปรับปรุงจุดแข็งของหน่วยงาน<br /> การฝึกปฏิบัติ <br />1. แบ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็น 5 กลุ่ม (5 งานของสถานีตำรวจ คือ งานอำนวยการ,ป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวน จราจร) ให้เวลาในการประชุม 50 นาที ให้อภิปรายในเรื่องจุดอ่อน และจุดแข็งของหน่วยงาน วิธีการแก้ปัญหาจุดอ่อนและวิธีการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็งของหน่วยงานตามตารางดังนี้ (สามารถหลอมรวมข้อความได้)<br /><br />จุดอ่อน วิธีการปรับปรุงจุดอ่อน จุดแข็ง การส่งเสริมพัฒนาจุดแข็ง<br /><br /><br /> <br /><br />2. นำผลจากการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง มากำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ (นำวิธีแก้ไขจุดอ่อนจุดแข็ง)<br />การกำหนดวิสัยทัศน์ เป็นการแสดงถึงความต้องการให้สถานีตำรวจเป็นรูปธรรมได้ในอนาคต โดยย้อนมองอดีต มองปัจจุบัน วาดฝันอนาคตและนำมากำหนดเป็นวิสัยทัศน์(ใบงานที่ 2)<br />วิสัยทัศน์สถานีตำรวจ.............................................................................................................................................<br />.........................................................................................................................................................................<br />การกำนดพันธกิจ เป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่หรือกิจกรรมที่จะทำให้สถานีตำรวจดำเนินไปกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดได้<br />พันธกิจ 1.......................................................................................................................................................<br /> 2........................................................................................................................................................<br /> 3.......................................................................................................................................................<br />การกำหนดเป้าประสงค์ เป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่หรือกิจกรรมที่จะทำให้สถานีตำรวจดำเนินไปกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้<br />เป้าประสงค์ 1............................................................................................................................................. 2.............................................................................................................................................<br /> 3..............................................................................................................................................<br /><br /><br />3. กลุ่มย่อยนำเสนอผลการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง วิธีการพัฒนาปรับปรุง การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ<br /> เป้าประสงค์ ต่อกลุ่มใหญ่ ช่วยกันปรับปรุงหลอมรวมข้อความให้สอดคล้องกันและสรุปวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br />วิสัยทัศน์สถานีตำรวจ.............................................................................................................................................<br />.........................................................................................................................................................................<br />พันธกิจ 1.......................................................................................................................................................<br /> 2........................................................................................................................................................<br /> 3.......................................................................................................................................................<br />เป้าประสงค์ 1............................................................................................................................................. 2.............................................................................................................................................<br /> 3..............................................................................................................................................<br /><br />2. การสร้างประเด็นยุทธศาสตร์ของ สถานีตำรวจ กำหนดตัวชี้วัดและแนวทางในการดำเนินการ<br />แบ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็น 5 กลุ่ม ( 5 งานของสถานีตำรวจ) ให้ศึกษาประเด็นยุทธศาสตร์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค ตำรวจภูธรจังหวัด ต้นสังกัด กำหนดตัวชี้วัดตามกลยุทธ์และแนวทางในการดำเนินการ (กลยุทธ์ ตัวชี้วัด และแนวทางการดำเนินงาน) ให้วิเคราะห์เฉพาะที่หน่วยงานสามารถปฏิบัติได้) แล้วนำมาเป็นกลยุทธ์ของหน่วยงาน กำหนดตัวชี้วัดของหน่วยงาน และแนวทางในการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของหน่วยงาน (ใบงานที่ 3)<br />กลยุทธ์ที่ 1 ......................................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br /> ตัวชี้วัด............................................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br /> แนวทางดำเนินงาน........................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br />3. การวิเคราะห์งบประมาณของหน่วยงาน โดยคาดการณ์จากจำนวนข้าราชการตำรวจ และดูจากการจัดสรรงบประมาณจาก ตำรวจภูธรจังหวัดให้แก่สถานีตำรวจในปีที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์หรือแนวทาง (ตามใบงานที่ 4)<br /> 3.1 การวิเคราะห์งบประมาณสำหรับแผนปฏิบัติการระยะปานกลาง (3-5 ปี) เป็นการคาดถึงจำนวนงบประมาณที่จะได้รับในแต่ละปี โดยใช้จำนวนข้าราชการตำรวจเป็นตัวกำหนดแล้วนำมาคูณกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จะได้รับในแต่ละระดับชั้น โดยวิธีการดังนี้<br /> - คาดการณ์จากจำนวนข้าราชการตำรวจที่สถานีตำรวจได้คาดว่าจะได้รับจัดสรร หรือโยกย้ายมา<br />- คาดการณ์โดยคำนึงถึงปัจจัยภายใน ขีดความสามารถที่รับได้ จำนวนตำรวจ ขนาดหรือความเจริญของพื้นที่หรือภารกิจ เช่น มีการเปิดโรงงาน ศูนย์การค้า หรือศูนย์ราชการใหม่ในพื้นที่<br />- คาดการณ์โดยคำนึงถึงปัจจัยภายนอก ความนิยม จำนวนประชากรในชุมชน สภาพเศรษฐกิจ สภาพชุมชน<br />3.2 การวิเคราะห์งบประมาณสำหรับแผนปฏิบัติการประจำปี ให้ใช้จำนวนข้าราชการตำรวจในปีงบประมาณนั้นๆ(ช่วงตุลาคม) มาเป็นตัวกำหนด แล้วนำมาคูณกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จะได้รับ ก็จะทำให้ทราบถึงรายรับของสถานีตำรวจในปีงบประมาณนั้นๆ รวมถึงรายรับด้านอื่นที่สถานีตำรวจจะได้รับค่อนข้างแน่นอน เช่นเงินอุดหนุนสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจจะได้รับจัดสรรจาก ตร.โดยตรงเดือนละ20,000-50,000 บาท แล้วแต่ขนาดของสถานีตำรวจ หรือเงินงบประมาณ หรือน้ำมันเชื้อแพลิง ที่จะได้รับจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br /><br />4. การจัดทำโครงการ/กิจกรรม มี 2 แบบ<br /> 4.1 แบบประเพณีนิยม เป็นการเขียนโครงการตามความถนัดหรือความต้องการของบุคคล ผู้บริหารหรือสถานีตำรวจ เป็นหลัก โดยไม่มีการยึดกลยุทธ์ของแต่ละหน่วยงานต้นสังกัด<br /> 4.2 แบบเหตุผลสัมพันธ์ เป็นการเขียนโครงการที่ผสมผสาน ความต้องการของสถานีตำรวจและกลยุทธ์ของหน่วยงานต้นสังกัด โดยการนำกลยุทธ์ของต้นสังกัดมาปรับให้เข้ากับความต้องการของสถานีตำรวจ<br />หัวข้อการเขียนโครงการ ประกอบด้วย (ใบงานที่ 5)<br />1. ชื่อโครงการที่ต้องดำเนินการ ผู้รับผิดชอบ กลยุทธ์ที่ ลักษณะโครงการ งานที่รับผิดชอบ ผู้รับผิดชอบ<br />ระยะเวลาดำเนินการ<br />2. หลักการและเหตุผล ความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนั้นๆ ความเป็นมา<br />3. วัตถุประสงค์โครงการ แสดงให้เห็นถึงผลที่จะเกิดหลังจากทำโครงการนี้<br />4. เป้าหมายของโครงการ เป็นการกำหนดผลงานของโครงการ โดยให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด<br /> ด้านปริมาณ แสดงเป้าหมายเป็นจำนวน<br /> ด้านคุณภาพ แสดงถึงลักษณะเฉพาะอย่างของผลงาน<br />5. วิธีดำเนินการ แสดงถึงวิธีดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด จะแสดงถึงลำดับขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม (Activities plan)<br />6. งบประมาณ งบประมาณที่จะใช้ในโครงการและรายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละด้าน แต่ละรายการ แหล่ง<br />รายการงบประมาณ(กิจกรรม) งบประมาณทั้งสิ้น ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าครุภัณฑ์<br /><br /> <br />รวม <br /><br />7. การวัดและประเมินผล เป็นการประเมินผลสำเร็จของโครงการ โดยการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีการประเมิน เครื่องมือที่ใช้วัด<br /><br />ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัด/ประเมินผล เครื่องมือวัด ผู้ควบคุม<br /><br /><br /><br /> <br /><br />8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการคาดคะเนผลของโครงการ หลังจากดำเนินกิจกรรมแล้ว<br /> - ด้านปริมาณ<br /> - ด้านคุณภาพ<br />9. ผู้เสนอโครงการ - เช่น สว.ผู้รับผิดชอบงาน<br /> ผู้เห็นชอบโครงการ –เช่น รองผู้กำกับการหัวหน้างานสถานีตำรวจ <br /> ผู้อนุมัติโครงการ - ควรเป็น หัวหน้าสถานีตำรวจ ที่เป็นผู้อนุมัติโครงการ<br /><br /><br /><br /><br />\<br /><br /><br />วิธีการจัดทำโครงการ <br />1. นำแนวทางดำเนินงานจากขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์หน่วยงานมาบูรณาการเข้ากับวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนหรือการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็งของหน่วยงาน เพื่อให้เป็นโครงการ/กิจกรรม ตามความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาและสนับสนุนการจัดกิจกรรมของสถานีตำรวจ<br />2. นำแนวทางที่ได้หลังจากที่ได้บูรณาการแล้วมาเขียนโครงการตามรูปแบบที่กำหนด<br />3. นำเสนอโครงการเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติจากหัวหน้างานโดยผ่านหัวหน้าสายงานที่รับผิดชอบ<br />4. นำเสนอโครงการในที่ประชุมผู้บริหารสถานีตำรวจ เพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการ หรือพิจารณาปรับปรุงโครงการให้เหมาะสม หรือถ้าสถานีตำรวจใด หัวหน้าสถานีตำรวจใช้ระบบอนุมัติงบประมาณรวมศูนย์ที่ตัว หัวหน้าสถานีตำรวจตัดสินใจเพียงคนเดียว ก็ควรต้องให้ หัวหน้าสถานีตำรวจอนุมัติงบประมาณ หรือถ้าไม่มีงบประมาณ ก็ควรจะปรึกษาหัวหน้าสถานีตำรวจว่าจะหางบประมาณมาได้จากช่องทางใด เช่น ขอสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br />5. พิจารณาโครงการตามความจำเป็นและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของหน่วยงาน พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการตามความเหมาะสมภายใต้กรอบวงเงินที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้าแล้ว<br />6. เสนอโครงการที่ได้รับพิจารณาให้ผู้มีอำนาจเห็นชอบโครงการและอนุมัติโครงการ และเรียงลำดับความสำคัญของโครงการ (ในกรณีที่โครงการนั้น ต้องใช้เงินงบประมาณจากส่วนอื่น นอกเหนือจากของสถานีตำรวจ ก็ควรให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานที่จัดสรรเงินเป็นผู้อนุมัติโครงการ หรือให้เป็นเจ้าของโครงการ เพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบงานงบประมาณ และหรือระเบียบการพัสดุ)<br />7. นำโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วรวบรวมจัดทำรูปเล่ม<br />8. ดำเนินการตามกิจกรรม/โครงการ ที่ได้รับพิจารณา<br /><br />การดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 1. งานอำนวยการของสถานีตำรวจ จัดสรรงบประมาณให้กับโครงการตามความต้องการจำเป็นเร่งด่วน นำเสนอหัวหน้าสถานีตำรวจ ให้ความเห็นชอบและแจ้งให้เจ้าของโครงการทราบ<br /> 2. ผู้รับผิดชอบโครงการขออนุมัติดำเนินการตามโครงการ โดยทำบันทึกแนบโครงการผ่านงานอำนวยการ ตรวจสอบความถูกต้องของโครงการและงบประมาณ<br /> 3. เสนอขออนุมัติการดำเนินการต่อหัวหน้าสถานีตำรวจ<br /> 4. ดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 5. ผู้บริหาร เช่น หัวหน้าสถานีตำรวจ รองผู้กำกับการ หรือรองหัวหน้าสถานีตำรวจ หัวหน้าสายงาน ติดตามการดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 6. เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการสรุปและรายงานผลการดำเนินการตามแบบสรุปโครงการ<br /><br /><br /><br />แบบสรุปรายงานผลการดำเนินงานโครงการ<br /><br />1. ชื่อยุทธศาสตร์ หรือกลยุทธ์................................................................................................................................................<br />2. ชื่อโครงการ..............................................................................................................................................<br />ระยะเวลา......................................................ผู้รับผิดชอบ........................................................................<br />3. วัตถุประสงค์.............................................................................................................................................<br />ผลที่คาดหวัง..............................................................................................................................................<br />4. กิจกรรม....................................................................................................................................................<br />5. ตัวชี้วัดความสำเร็จ....................................................................................................................................<br />6. ผลที่คาดว่าจะได้รับ..................................................................................................................................<br />7. งบประมาณ..............................................................................................................................................<br />แหล่งงบประมาณ จำนวนที่ได้รับ จำนวนที่ใช้ คงเหลือ หมายเหตุ<br />งบประมาณ ตร./หน่วยเหนือ <br />งบประมาณจากหน่วยงานอื่น <br />เงินนอกงบ <br />รวม <br /><br />8. ผลการดำเนินงาน<br />ผลที่คาดหวัง ผลที่ได้รับ ผลลัพธ์/หน่วย<br />(ร้อยละความสำเร็จ)<br />ด้านปริมาณ ด้านคุณภาพ ด้านปริมาณ ด้านคุณภาพ <br /><br /> <br /><br />9. สรุป...........................................................................................................................................................<br />10. ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ................................................................................................................<br /><br />ลงชื่อ......................................................ผู้รับผิดชอบโครงการ ลงชื่อ.............................................ผู้ประเมินผล<br /> (.....................................................) (............................................)<br />ตำแหน่ง.................................................. ตำแหน่ง หัวหน้าสถานีตำรวจ.............................<br /><br /><br /><br />กลุ่มที่.............................................<br />ใบงานที่ 1 วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งหน่วยงานและวิธีปรับปรุงพัฒนา<br /><br />จุดอ่อน วิธีการปรับปรุงจุดอ่อน จุดแข็ง วิธีการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็ง<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ใบงานที่ 2 การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br /><br /> วิสัยทัศน์...........................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br /> พันธกิจ............................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br /> เป้าประสงค์......................................................................................................................................................<br />....................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................<br /><br /><br />ใบงานที่ 3 การสร้างกลยุทธ์ ตัวชี้วัด แนวทางดำเนินงาน<br /><br />กลยุทธ์ที่ (ข้อความกลยุทธ์).........................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />ตัวชี้วัดกลยุทธ์…………………………………………………………………………………………………………<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />แนวการดำเนินงาน........................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br />ใบงานที่ 4 การวิเคราะห์งบประมาณหน่วยงาน<br /><br />สายงาน ปีงบประมาณ 2550 ปีงบประมาณ 2551 ปีงบประมาณ 2552 ปีงบประมาณ 2553<br /> ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ<br />งานอำนวยการ <br />งานป้องกันปราบปราม <br />งานสืบสวน <br />งานจราจร <br />งานสอบสวน <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br />รวมงบประมาณทั้งสิ้น <br /><br />ใบงานที่ 5 การจัดทำโครงการ/กิจกรรม<br /><br />โครงการ........................................................................................................................................................................<br />กลยุทธ์ที่.......................................................................................................................................................................<br />ลักษณะโครงการ..........................................................................................................................................................<br />งานที่รับผิดชอบ...........................................................................................................................................................<br />ผู้รับผิดชอบ..................................................................................................................................................................<br />ระยะเวลาดำเนินการ....................................................................................................................................................<br />หลักการและเหตุผล.......................................................................................................................................................<br />...................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />วัตถุประสงค์<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />เป้าหมาย<br /> เชิงคุณภาพ.....................................................................................................................................................<br /> เชิงปริมาณ.....................................................................................................................................................<br />วิธีดำเนินการ<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br /><br />แผนการดำเนินงาน<br />กิจกรรม ระยะเวลา ผู้รับผิดชอบ ผู้ควบคุม<br /> ตค พย ธค มค กพ มีค เมย พค มิย กค สค กย <br /><br /><br /><br /> <br /><br />งบประมาณ รวมทั้งสิ้น...............................บาท<br />รายการงบประมาณ(กิจกรรม) งบประมาณทั้งสิ้น ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าครุภัณฑ์<br /><br /><br /> <br />รวม <br /><br />การวัดและประเมินผล<br />ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัด/ประเมินผล เครื่องมือวัด ผู้ควบคุม<br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br />ด้านคุณภาพ.....................................................................................................................................................<br />ด้านปริมาณ....................................................................................................................................................<br /><br /><br /> ผู้เสนอโครงการ ผู้เห็นชอบโครงการ<br />ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ......................................................<br /> (……………………………….) (...................................................)<br />ตำแหน่ง.................................................... ตำแหน่ง.....................................................<br /><br /> ผู้อนุมัติโครงการ<br /> ลงชื่อ.......................................<br /> (........................................)<br /> ตำแหน่ง ผู้กำกับการสถานีตำรวจ................<br /><br />15.สิ่งที่ควรกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการ(โครงการ) <br /><br />1. ระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการให้ชัดเจน <br />2. ระบุจำนวนวันและระยะเวลาในการดำเนินโครงการ<br />3. ระบุกลุ่มและกลุ่มงานที่รับผิดชอบโครงการ<br />4. ระบุเป้าหมายของโครงการทั้งด้านคุณภาพและด้านปริมาณ<br />5. กำหนดมาตรฐานคุณภาพของงาน สถานีตำรวจ ตามตัวชี้วัด โครงการพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อประชาชน <br />6. กำหนดผลผลิตของโครงการ <br />7. งบประมาณที่ใช้ต้องระบุรายการให้ชัดเจน<br />- ค่าตอบแทน - ค่าใช้สอย - ค่าวัสดุ (ระบุรายการ)<br /><br /><br /><br /><br />บรรณานุกรม<br /><br />1. ดร.วัฒนา พัฒนพงษ์ :(2547) BSC และ KPI เพื่อการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน,พิมพ์ดีการพิมพ์,กรุงเทพฯ.<br />2. สำนักงาน กพร.:(2548),การจัดทำแผนปฏิบัติราชการและแผนปฏิบัติราชการประจำปี การติดตามผล<br /> เว็อบไซด์ สำนักงาน กพร.<br />3. สำนักงาน กพร.:(2548),การแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติด้วยการบริหารโครงการ เว็บไซด์สำนักงาน กพร.<br />4. สำนักงบประมาณ : (2552) ,แนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ (พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๕๔)เพื่อการจัดทำงบประมาณ เว็บไซด์ สำนักงบประมาณ<br /> --------------------------------------------------------------Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-33690475645761261152010-07-21T02:07:00.000-07:002010-07-21T02:09:35.455-07:00Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-32375930234143362332010-07-21T02:02:00.000-07:002010-07-21T02:03:13.100-07:00คู่มือการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของสถานีตำรวจPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-62727631927660227102009-06-28T00:12:00.000-07:002009-06-28T00:14:25.618-07:00ร่างนโยบายการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ร่าง)นโยบายการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง<br /><br />1. วัตถุประสงค์<br /> เพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางวิธีการประยุกต์ใช้กับการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องและการควบคุมฝูงชนสำหรับตำรวจหน่วยในสังกัด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นภายใต้กรอบของกฎหมายและแบบธรรมเนียมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ในแต่ละสถานการณ์ให้เหมาะสมกับการยอมรับของสังคมและประชาคมโลก<br /><br />2. นโยบายหลัก<br /> สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายในการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องและการควบคุมฝูงชน ดังนี้<br /> 2.1 เพื่อปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติยศชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือของบุคคล สังคม สถาบันหลักของชาติ และประเทศชาติเป็นส่วนรวม<br /> 2.2 เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชน สังคม และประเทศชาติ<br /> 2.3 เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธที่ไม่รบกวนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นตามรัฐธรรมนูญ<br /> 2.4 เน้นการป้องกันการชุมนุมเรียกร้องโดยการลดเงื่อนไขความขัดแย้งด้วยนโยบายการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และปฏิบัติการด้านการข่าว การใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เช่น กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ การสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ มากกว่าการรอแก้ปัญหาเมื่อมีการชุมนุมเรียกร้องแล้ว โดยการใช้กำลังและหลีกเลี่ยงการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง โดยมุ่งเน้นแก้ปัญหาแบบสันติวิธีหรือพยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรง หากจำเป็นต้องใช้กำลังจะใช้ตามกรอบแนวทางกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชนและหลักปฏิบัติที่เป็นสากล<br /> 2.5 เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อย ขจัดความขัดแย้งในชุมชนด้วยระบบการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ส่งเสริมชุมชนให้เข้มแข็งด้วยระบบการตำรวจชุมชนหรือการใช้วิทยากรกระบวนการ มีการจัดองค์กรประชาชนอย่างเป็นระบบให้มีความสำนึกต่อความสงบของชุมชนและของชาติโดยส่วนรวมเพื่อให้ข่าวแก่ทางราชการได้ตั้งแต่เริ่มมีเงื่อนไขหรือสิ่งบอกเหตุ ก่อนที่การชุมนุมเรียกร้องยังไม่ก่อตัวขึ้น<br /> 2.6 ส่งเสริมขวัญและกำลังใจ ภาพพจน์ของตำรวจ รักษาและพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยและบุคลากรให้มีความสามารถอยู่ในสายงานหรือทำหน้าที่แก้ไขปัญหาความไม่สงบหรือการชุมนุมเรียกร้องให้ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง<br /><br />3. คำจำกัดความ<br /> 3.1 การจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง หมายถึง การใช้เทคนิคและวิธีการในการรักษาความสงบการชุมนุมเรียกร้องที่ถูกต้องตามกฎหมายในที่สาธารณะ ทั้งก่อนการชุมนุม ระหว่าง และหลังการชุมนุม เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของการชุมนุมที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยรวมถึงการให้บรรลุภารกิจนี้โดยการประสานงานกับผู้จัดการชุมนุม หรือแกนนำและการสรุปวิจารณ์ปรับปรุงผลการปฏิบัติ<br /> 3.2 การควบคุมฝูงชน หมายถึง เทคนิคและวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องที่ผิดกฎหมาย โดยรวมถึงวิธีการแสดงกำลังของตำรวจ การควบคุมพื้นที่การชุมนุม เทคนิคการสลายการชุมนุม และวิธีการจับกุม หรือวิธีการอื่นใดในการรักษาความสงบหรือบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย<br /> 3.3 การชุมนุมเรียกร้องตามกฎหมาย หมายความรวมถึง รูปแบบการรวมตัวกันและแสดงออกเพื่อที่จะแสดงความคิดเห็น หรือข้อมูลข่าวสารแก่ผู้อื่นทั้งโดยคำพูดและที่ไม่ใช่คำพูด เช่น การปราศรัย การชุมนุมประท้วง การยืนประท้วงป้องกันแนว การยกถือป้าย การแสดงหุ่น หรือการร้องเพลง โดยการแสดงออกเหล่านี้ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยที่ไม่รบกวนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด<br /> 3.4 การชุมนุมเรียกร้อง หมายความรวมถึง การชุมนุมของคนเป็นจำนวนมากในที่สาธารณะโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งต้องใช้กำลังตำรวจในการจัดการจราจร จัดระเบียบการชุมนุม ควบคุมฝูงชนในส่วนที่ไม่เป็นระเบียบ การสลายฝูงชนหรือการปฏิบัติต่างๆ ในการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในสถานการณ์การชุมนุมรวมตัวของกลุ่มคน โดยอาจรวมถึงแต่ไม่จำกัดในเรื่อง ดังนี้ เช่น การเดินขบวน การประท้วง การผละจากห้องเรียน หรืองาน การรวมกลุ่มหรือการนั่งประท้วงรวมตัว โดยปกติกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้เกิดจุดสนใจของประชาชนทั่วไป รวมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมหรือผู้ที่เดินผ่านไปมา สื่อมวลชน หรือกลุ่มประชาชนที่อาจมีความคิดไม่เห็นด้วยกับผู้ชุมนุม<br />3.5 สถานการณ์การชุมนุมเรียกร้อง ในนโยบายนี้ให้มุ่งเน้นการชุมนุมที่มีข้อเรียกร้อง และอาจรวมถึงการชุมนุมเพื่อดูการแข่งขันกีฬา เทศกาลสำคัญ การแสดงคอนเสิร์ตหรือดนตรี การรวมพลังเลี้ยงสังสรรค์ การรวมตัวแสดงพลังทางการเมืองหรือแสดงพลังต่างๆ หรือการรวมตัวเพื่อเฉลิมฉลองแล้วกลุ่มชนดังกล่าวมีข้อเรียกร้องเพิ่มขึ้นจากวัตถุประสงค์แรกที่มารวมตัวกัน<br /><br />4. หลักการ <br /> 4.1 การรักษาความสงบเรียบร้อยเหตุชุมนุมเรียกร้องเป็นหน้าที่ของตำรวจ <br /> เมื่อเกิดเหตุชุมนุมเรียกร้องทั้งที่ถูกกฎหมายและที่ผิดกฎหมาย ทั้งที่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นทันทีไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนหรือเป็นงานที่กำหนดขึ้น เช่น การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก การแข่งขันกีฬานานาชาติต่างๆ เป็นต้น แล้วมีการชุมนุมเรียกร้องเกิดขึ้น <br /> 4.1.1 หากพื้นที่การชุมนุมเรียกร้องเป็นพื้นที่สาธารณะที่ไม่มีเจ้าพนักงานฝ่ายอื่นรับผิดชอบในการรักษาความสงบตามกฎหมายโดยตรงก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานฝ่ายตำรวจที่ต้องมีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม ส่วนพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เช่น ทหาร ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานซึ่งต้องปฏิบัติภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในขณะที่ยังมิได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศกฎอัยการศึก หรือการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ.2551 แต่หากมีการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงดังกล่าวข้างต้นจะมีการกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานฝ่ายอื่น เช่น ฝ่ายทหารให้เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ เป็นต้น หรือกรณีประเด็นในการชุมนุมเรียกร้องเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นมีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาโดยตรง เช่น การชุมนุมเพื่อเรียกร้องค่าจ้างแรงงาน ซึ่งมีหน่วยงานฝ่ายแรงงานรับผิดชอบตามกฎหมายแรงงานโดยเฉพาะ บทบาทหน้าที่ของตำรวจควรจำกัดขอบเขตเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยของการชุมนุมเรียกร้องรวมทั้งดำเนินการให้การชุมนุมเรียกร้องไม่ไปกระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลอื่น เช่น กีดขวางการจราจร<br /> 4.1.2 แม้ว่าตำรวจจะมีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาในการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมายอาญา แต่หากพื้นที่การชุมนุมเรียกร้องหรือที่จัดงานเป็นพื้นที่ที่มีกฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานอื่นเฉพาะ เช่น ในเรือนจำที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีอำนาจเป็นเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2497 มากกว่าเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะนั้นๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าพนักงานตำรวจก็ยังมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือเตรียมพื้นที่หรือจัดการจราจรรอบบริเวณที่เกิดเหตุการชุมนุมเรียกร้อง และเตรียมการช่วยเหลือสนับสนุนเจ้าหน้าที่อื่นผู้รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่พิเศษนั้น<br /> <br /> 4.2 ผู้อนุมัติหรือเห็นชอบการใช้กำลังขั้นสุดท้าย <br /> ให้หน่วยตำรวจเป็นหน่วยงานรับผิดชอบจัดทำแผนรักษาความสงบเรียบร้อยการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องในภาพรวมของจังหวัดโดยเป็นแผนของจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดลงนาม ส่วนในส่วนกลางให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดทำแผน โดยให้ระบุในเรื่องต่อไปนี้<br /> 4.2.1 ให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการระดับตำรวจภูธรจังหวัดขึ้นไป เพื่อเป็นองค์กรในการสนับสนุนให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องของจังหวัด หรือของส่วนราชการ ตามแผนหรือคำสั่งที่ได้กำหนดไว้ หากไม่มีคณะกรรมการชุดนี้ ควรเสนอแนะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้คณะกรมการจังหวัด ตามนัยมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๓๔ เพื่อ<br /> 1) กำหนดนโยบาย หรือยุทธศาสตร์ หรือภารกิจ การแก้ปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง ให้ ผู้บัญชาการเหตุการณ์นำไปปฏิบัติในแต่ละเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้อง<br /> 2) แก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องในระดับยุทธศาสตร์ เช่นการแก้ไขเงื่อนไขการชุมนุมเรียกร้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขที่เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่หน่วยงานตำรวจ<br /> 3) หากยังไม่มีการแต่งตั้ง ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ให้มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรมอบหมายผู้บัญชาการเหตุการณ์ให้ชัดเจน ซึ่งผู้บังคับบัญชาตำรวจอาจไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ หน่วยตำรวจก็ยังมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมเรียกร้อง <br /> 4)จัดตั้งชุด แถลงข่าวร่วม เพื่อมีหน้าที่แถลงข่าว ติดต่อประสานกับสื่อมวลชน<br /> 5) จัดตั้งหรือกำหนด ศูนย์ปฏิบัติการหลัก เพื่อช่วยเหลือสนับสนุน ศูนย์ปฎิบัติการส่วนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ กฎหมาย กำลังพลเพิ่มเติม อุปกรณ์เครื่องมือ หรือการส่งกำลังบำรุง ตามที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า (ศปก.สน) ร้องขอ<br /> 6) ผู้บังคับบัญชา หรือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ควรต้องปฏิบัติงานเฉพาะใน ศปก.หลัก โดยเป็นผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ดำเนินงานในกรอบระดับ ยุทธศาสตร์ (ระดับทอง) จะไม่ไปควบคุมสั่งการที่ ศปก.สน.ที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุหรือพื้นที่ชุมนุม ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติงานของ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ฝ่ายอำนวยการ และผู้บังคับบัญชาหน่วยที่ร่วมปฏิบัติ ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีหน้าที่ดำเนินงานในระดับ ยุทธการ(ระดับเงิน) หรือลงไปสั่งการเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่การชุมนุมเรียกร้อง ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานระดับพื้นที่หรือหน้าที่ที่แก้ไขปัญหาเหตุชุมนุมในพื้นที่การชุมนุม ซึ่งถือเป็นผู้มีหน้าที่ระดับ ผู้ปฏิบัติงาน (ระดับบรอนซ์)<br /> <br /> 4.2.2 ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องดำเนินการให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ชุมนุม เป็นผู้เห็นชอบหรืออนุมัติใช้กำลังขั้นสุดท้าย เช่นผู้ว่าราชการจังหวัด สมุหราชองครักษ์ หรือประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานสำคัญนั้น<br /> แม้ว่าผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นโดยหน้าที่งานประจำ เช่น เวรอำนวยการประจำสถานีตำรวจซึ่งมียศสูงสุดในสถานที่เกิดเหตุนั้น หรือตำรวจที่ได้รับมอบหมายหรือมีคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในฐานะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และตำรวจที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย สืบสวนสอบสวนจับกุมตามกฎหมาย ในกรณีที่จะต้องใช้กำลังขั้นสุดท้าย หากมีเวลาที่ทำได้ ควรจะต้องขออนุมัติแผนให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบังคับใช้กฎหมายในแต่ละพื้นที่ หรือตามกฎหมายเฉพาะแต่ละพื้นที่ หรือหน่วยงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้กำลังขั้นสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาฝูงชนได้อนุมัติหรือเห็นชอบก่อนตามหลักของความรับผิดชอบตามหลักกฎหมายปกครอง ระเบียบวิธีปฏิบัติราชการ หรือกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของข้าราชการ หรืออาจจะมีผลกระทบทางด้านการเมือง ก็ควรจะเสนอแผนการใช้กำลังขั้นสุดท้ายให้ผู้รับผิดชอบฝ่ายการเมืองเห็นชอบก่อน และการสั่งการอนุมัติ เห็นชอบ หรือนโยบายนี้ ต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หากการดำเนินการดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับผิดชอบจัดทำคำสั่งความเห็นชอบ หรือคำสั่งอนุมัติแผนดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้<br /><br /> 4.3 การวางแผนขั้นต้น <br /> 4.3.1 ให้ตำรวจพึงยืดถือหลักการที่กำหนดในรัฐธรรมนูญว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิในการรวมตัวกันโดยสงบและปราศจากอาวุธ” เช่น การเดินขบวน การชุมนุมเรียกร้อง การประท้วง การรวมกลุ่มเดินทางหรือกิจกรรมอย่างอื่นในลักษณะเช่นเดียวกันที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ การจำกัดสิทธิในการรวมตัวกันของประชาชนโดยสงบและปราศจากอาวุธดังกล่าวจะต้องมีเหตุผลทางกฎหมายเพื่อการป้องกันเกี่ยวกับ ความปลอดภัย สุขภาพอนามัย หรือสิทธิเสรีภาพต่าง ๆของบุคคลอื่นเช่น เสรีภาพในการเดินทาง ตำรวจจะต้องไม่เลือกปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางด้านศาสนา กลุ่มการเมือง เชื้อชาติ เพศ ความพิการทางร่างกายหรือเงื่อนไขใด ๆ<br /> 4.3.2 ให้ใช้สายตรวจตำบล ตำรวจประจำตู้ยาม และหน่วยย่อยของตำรวจที่ประจำในแต่ละพื้นที่ ใช้ระบบศูนย์ข้อมูลข่าวสารประจำสถานีตำรวจ (ศขส.สน/สภ) เป็นเครื่องมือให้มีระบบการจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยง ต่อการชุมนุมเรียกร้อง รายงานประชุมความมั่นคงอำเภอทุกเดือน หน่วยตำรวจระดับอำเภอรายงานการจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุชุมนุมเรียกร้อง ถ้าไม่มีให้จัดลำดับความเสี่ยง หรือกลุ่มที่น่าเฝ้าระวัง หรือมีเงื่อนไขใดที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ต่อการนำมาเป็นเงื่อนไขในการชุมนุมเรียกร้อง ตามแนวทางในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๒<br /> 4.3.3 ให้ใช้ระบบการบัญชาการเหตุการณ์ หรือทำจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องเฉพาะพื้นที่ไว้ตามแนวคิดระบบการบัญชาการเหตุการณ์ โดยต้องมีฝ่ายบังคับบัญชา ฝ่ายอำนวยการ และหลายหน่วยงานหรือผู้มีหน้าที่ความรู้ในด้านต่างๆ มาร่วมวางแผนจัดการแก้ไขเหตุชุมนุมเรียกร้อง การควบคุมฝูงชน หรือการก่อความไม่สงบโดยประชาชน ให้มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนได้รวดเร็ว<br /> 4.3.4 การตัดสินใจเกี่ยวกับการสลายฝูงชน กลยุทธ์เกี่ยวกับการปิดล้อมที่ชุมนุมหรือการจัดให้ฝูงชนเคลื่อนย้ายไปในทิศทางอื่น การจับกุมแกนนำหรือการจับกุมขนาดใหญ่ หรือการใช้กำลังที่ต้องมีการวางแผนจะต้องดำเนินการในระดับของผู้บัญชาการเหตุการณ์หรือสูงกว่า หากการตัดสินใจหรือคำสั่งดังกล่าวได้กระทำขึ้นเหนือกว่าระดับผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัจจัยหรือสถานการณ์ของการชุมนุมและผลกระทบหรือความเป็นไปได้หรือการยอมรับได้ของสังคมในการตัดสินใจสั่งการดังกล่าว คำสั่งหรือการตัดสินใจใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวจะต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ลงเวลา ผู้ตัดสินใจหรือสั่งการ และระบุคำสั่งหรือข้อตัดสินใจอย่างชัดเจน เอกสารหรือคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรดังกล่าวจะต้องจัดทำขึ้นในเวลาที่ตัดสินใจหรือสั่งการเท่าที่ทำได้เร็วที่สุดในการลงบันทึกดังกล่าว ทั้งนี้ไม่รวมถึงคำสั่งการหรือการตัดสินใจของผู้บัญชาการเหตุการณ์หรือผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยในการควบคุมฝูงชนที่กระทำในการป้องกันต่อภยันตรายที่จะเกิดขึ้นหรือกระทำด้วยความจำเป็นโดยทันทีทันใด<br /> 4.3.5 ต้องมีการจัดฝ่ายอำนวยการ และศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า(ศปก.สน.) รวมทั้งร้องขอหน่วยงานอื่นที่อาจเกี่ยวกับการแก้ไขเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องตามเงื่อนไขของกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อให้ข้อมูลและดำเนินกรรมวิธีแสวงข้อตกลงใจทางยุทธวิธี และร่วมปฏิบัติการให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายและการยอมรับได้ของสังคมในผลของการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องและการควบคุมฝูงชนของตำรวจ<br /> 4.3.6 ให้หน่วยตำรวจที่รับผิดชอบแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานกับผู้จัดการชุมนุมเรียกร้องหรือผู้วางแผนในการจัดการชุมนุม หากเป็นการชุมนุมที่สามารถรู้ได้ล่วงหน้าหน่วยตำรวจที่รับผิดชอบต้องหาข่าวในเชิงรุกและดำรงการติดต่อประสานงานกับผู้จัดการชุมนุมหรือแกนนำไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะเป็นการชุมนุมที่ทำตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ตำรวจผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องเริ่มดำเนินการตามแผนในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง หรือการจัดระเบียบฝูงชนที่อาจก่อความไม่สงบขึ้น ตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อได้รับรู้ว่าจะมีการชุมนุม เมื่อการติดต่อประสานงานได้เกิดขึ้น ผู้ประสานงานของตำรวจจะต้องกำหนดตัวของผู้ประสานงานหรือแกนนำที่ผู้ประสานงานจะติดต่อด้วยในการชุมนุมแต่ละครั้ง ผู้ประสานงานฝ่ายผู้ชุมนุมจะได้รับการขอร้องให้ติดต่อประสานงานกับผู้ประสานงานฝ่ายตำรวจอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา โดยควรจะเป็นผู้ที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้มอบหมายหรือผู้ที่สามารถแจ้งความเคลื่อนไหวให้แก่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้ตลอดเวลา หากการติดต่อประสานงานดังกล่าวไม่เป็นผล ต้องเป็นความพยายามของหน่วยงานตำรวจที่รับผิดชอบจะต้องติดต่อประสานงานกับกลุ่มผู้ชุมนุมให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ “การให้ได้ข่าวสารว่าผู้ชุมนุมจะทำอะไร เมื่อไร อย่างไร ได้มากที่สุดจะเป็นปัจจัยสำคัญในการแสวงข้อตกลงใจทางยุทธวิธี การปฏิบัติการข่าว และการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ อันจะทำให้การจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องได้ผลมากขึ้นเท่านั้น”<br /> 4.3.7หากการติดต่อประสานงานระหว่างผู้ประสานงานฝ่ายตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุมล้มเหลวกลางคันจะต้องไม่มีการแสดงออกถึงการตอบโต้ในเชิงลบต่อกลุ่มผู้ชุมนุมจากฝ่ายตำรวจ<br /> 4.3.8 การติดต่อประสานงานระหว่างผู้ประสานงานฝ่ายตำรวจและฝ่ายผู้ชุมนุม จะดำเนินการต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งแม้ว่าจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายหรือใช้กำลังต่อกลุ่มผู้ชุมนุมก็ตาม<br /> 4.3.9 การชุมนุมเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยทันทีทันใด โดยหน่วยตำรวจไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน เมื่อหน่วยตำรวจที่รับผิดชอบรู้ถึงการชุมนุมเรียกร้องเมื่อใดให้เริ่มดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายและการจัดการในการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทันที ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องใช้ข้อมูลจากผู้แทนของกลุ่มผู้ชุมนุมใช้ในการวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหาการชุมนุมเรียกร้องที่รู้ล่วงหน้าและที่ไม่รู้ล่วงหน้า<br /> 4.3.10 ตำรวจจะต้องรักษาวินัยและแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพ มีความเป็นกลางทั้งคำพูดและการปฏิบัติแม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายหรือต่อต้านสังคม พฤติกรรมการแสดงออกถึงความไม่มีวินัยและไม่ใช่มืออาชีพจะเป็นการจุดชนวนทำให้เหตุการณ์ตึงเครียดนำไปสู่การควบคุมเหตุการณ์ได้ยากหรืออาจเป็นอันตรายเพิ่มมากขึ้น การกำกับดูแลและควบคุมสั่งการอย่างใกล้ชิดมีความจำเป็นในการปฏิบัติภารกิจร่วมของตำรวจหลายหน่วย หรือการปฏิบัติในยุทธวิธีต่างๆของตำรวจ การทำงานเป็นหมู่คณะและการใช้ภาวะผู้นำมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมและทำให้เกิดความปลอดภัยแก่ตำรวจที่ปฏิบัติงาน การกระทำของตำรวจแบบใช้อารมณ์หรือการกระทำโดยพลการของตำรวจแต่ละคนเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง<br /> 4.3.11 จะต้องจัดให้มีตำรวจไปสังเกตการณ์ ณ จุดสูงข่ม หรือจุดที่สามารถสังเกตการณ์เพื่อรายงานสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทุกขณะ<br /> 4.3.12 ที่ตั้ง ศปก. สน. และเส้นแนวเขตการเจรจาขั้นสุดท้าย หรือแนวที่จะไม่ยอมให้กลุ่มผู้ชุมนุมผ่านไปเพื่อการป้องกันเหตุร้าย หรือป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไปนั้น จะต้องมีความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมประท้วงที่มีการต่อต้าน หากเป็นไปได้ต้องมีการแยกกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงหรือยั่วยุออกมาจากกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ “การจัดต้อง ศปก.สน. ได้เร็วและทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้น จะทำให้ภารกิจการควบคุมฝูงชนสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น”<br /> 4.3.13 การสืบสวนหาข่าวเพื่อให้ทราบว่าการชุมนุมมาจากกลุ่มใด เรียกร้องเรื่องใดเป็นปัจจัยที่สำคัญสุดที่จะกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องของตำรวจได้ตรงกับลักษณะของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยกลุ่มผู้ชุมนุมจะมีการแปรเปลี่ยนตั้งแต่การให้ความร่วมมือกับตำรวจ การไม่ให้ความร่วมมือจนถึงการด่าทอหรือทำร้ายตำรวจ การชุมนุมเรียกร้องที่มีการจัดตั้งกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่มีความรุนแรงจะต้องมีการแยกแยะ และการปฏิบัติของตำรวจที่แตกต่างกันระหว่างผู้ที่ทำผิดกฎหมายกับผู้ที่ไม่ทำผิดกฎหมายระหว่างการชุมนุม<br /><br />5. ความสัมพันธ์ทางการบังคับบัญชา<br /> 5.1 เมื่อมีภารกิจในการจัดการเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้อง การควบคุมฝูงชน หรือการรักษาความสงบหรือความปลอดภัยในการจัดงานสำคัญ โดยหลักการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะสั่งการให้หน่วยในสังกัดจัดกำลังพลพร้อมอุปกรณ์ไป “ขึ้นควบคุมการปฏิบัติ” ตามนัยมาตรา ๑๕ วรรคท้ายแห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ ไม่ว่าหน่วยนั้นจะเป็นหน่วยกำลังตำรวจทั่วไปหรือหน่วยสนับสนุนทางเทคนิค<br /> 5.2 เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ หน่วยงานตำรวจที่รับผิดชอบหรือเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง หรือผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้รับการสนับสนุนกำลังพลจากหน่วยงานอื่น มาร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่ากำลังพลดังกล่าวจะเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือในขณะที่ยังไม่ได้ใช้กฎหมายประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ดังนั้น การมอบหมายภารกิจ ควรต้องมอบให้เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจ ในการปฏิบัติภารกิจตามคุณลักษณะของหน่วย ภายใต้การควบคุมการสั่งการของผู้บังคับบัญชาตำรวจ ไม่ควรมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานที่เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานให้มีลักษณะการมอบความรับผิดชอบโดยการแบ่งพื้นที่เด็ดขาด เนื่องจากอาจเกิดปัญหาด้านกฎหมายได้<br /> 5.3.ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ควรต้องได้รับมอบกำลังพลที่มาร่วมปฏิบัติงานในลักษณะ “ขึ้นควบคุมการปฏิบัติหรือขึ้นควบคุมทางยุทธการ” ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานตำรวจหรือข้าราชการอื่น หรืออาสาสมัครก็ตาม เพื่อให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์ มีอำนาจหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชา สั่งการใช้หน่วยที่มาร่วมปฎิบัติได้ทุกหน่วย ในการปฏิบัติภารกิจ โดยไม่ต้องกังวลกับการ ส่งกำลังบำรุง การธุรการและกำลังพล การรักษาวินัย ซึ่งเป็นหน้าที่ของ หน่วยที่มาร่วมปฏิบัติ และ ศปก.หลัก ที่จะต้องรับผิดชอบดำเนินการ<br /> <br />6.แนวทางการใช้หน่วยทางยุทธวิธี<br /> 6.1.ผู้ที่ร่วมปฏิบัติงานในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องและการควบคุมฝูงชนทั้งหมด ควรต้องเข้าใจและทำตามกรอบบทบาทและหน้าที่แต่ละระดับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน การก้าวก่ายหน้าที่ของแต่ละระดับ โดยแบ่งออกดังนี้<br /> 6.1.1 ระดับยุทธศาสตร์ (ระดับทอง) คือผู้บัญชาการเหตุการณ์ ขึ้นไป ซึ่งรวมถึง ฝ่ายอำนวยการเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ใน ศปก.หลัก ผู้บังคับบัญชาทั้งในระดับหัวหน้าหน่วยงานในจังหวัด และส่วนกลาง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด <br />สมุห์ราชองครักษ์ รองสมุห์ราชองครักษ์ ผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจที่มีตำแหน่งหน้าที่สูงกว่าผู้บัญชาการเหตุการณ์ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาฝ่ายการเมืองเช่น รัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี โดยผู้มีหน้าที่ในระดับนี้ควรต้องมอบนโยบายหรือสั่งการหรือแก้ไขปัญหาในระดับยุทธศาสตร์ <br /> 6.1.2 ระดับยุทธการ (ระดับเงิน) คือ ผุ้บัญชาการเหตุการณ์ ลงไป (ผู้บัญชาการเหตุการณ์ เป็นผู้ที่อยู่ในระดับยุทธศาสตร์ และยุทธการ แต่ไม่ใช่ระดับผู้ปฏิบัติงาน) หัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชาฝ่ายปฏิบัติหัวหน้าหน่วยงานที่มาร่วมปฏิบัติหรือผู้แทนหน่วยที่มาร่วมปฏิบัติ ฝ่ายอำนวยการ และเจ้าหน้าที่ประจำ ศปก.สน.ทุกคน ซึ่งไม่มีหน้าที่ไปควบคุมสั่งการในพื้นที่ปฏิบัติการโดยตรง (ต้องเสนอแนะหรือสั่งผ่าน ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าหน่วยที่ปฏิบัติการในพื้นที่ หรือตามหน้าที่พิเศษ) แต่มีหน้าที่นำคำสั่งการหรือยุทธศาสตร์หรือนโยบายของระดับยุทธศาสตร์ มาแสวงข้อตกลงใจ วางแผนให้สำเร็จภารกิจ<br /> 6.1.3 ระดับผู้ปฏิบัติงาน (ระดับบรอนซ์) คือ หัวหน้าหน่วยหรือผู้บังคับบัญชา หน่วยที่ปฏิบัติงานและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติแก้ปัญหาเหตุชุมนุมเรียกร้องหรือควบคุมฝูงชนในระดับพื้นที่ หรือหน้าที่พิเศษทั้งหมด (หัวหน้าหน่วยหรือผู้บังคับบัญชาหรือผู้แทนหน่วย หน่วยปฏิบัติที่มาร่วมปฎิบัติงานโดยตรง จะเป็นทั้งระดับยุทธการและระดับผู้ปฏิบัติงานด้วย) มีหน้าที่บทบาทในการนำแผนของระดับยุทธการมาปรับใช้ตามยุทธวิธีที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์ โดยใช้ระบบหลักการระเบียบการ นำหน่วยเป็นกรอบในการเตรียมกำลัง อุปกรณ์ วางแผนการปฏิบัติของหน่วยกำลัง การตรวจพื้นที่ และการฝึกซ้อม<br /> 6.2 ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกระดับ จะต้องคำนึงถึงขีดจำกัด ขีดความสามารถและใช้หน่วยงานในการแก้ไขปัญหา ตามคุณลักษณะของหน่วย เช่น กองร้องควบคุมฝูงชนของ ตำรวจนครบาล ซึ่งมีภารกิจ หน้าที่และอุปกรณ์ประจำการในการควบคุมฝูงชนมากกว่าหน่วยอื่น และได้รับการฝึกการควบคุมฝูงชนมาโดยตรง ควรต้องออมกำลังไว้ เพื่อใช้ในการสลายฝูงชน ด้วยอุปกรณ์พิเศษต่าง ๆ เช่นแก๊สน้ำตา หรือใช้รูปขบวนในการสลายฝูงชน ซึ่งการใช้หน่วยตำรวจที่เป็นหน่วยตำรวจในพื้นที่ ที่รู้จักคุ้นเคยกับกลุ่มผู้ชุมนุมหรือที่มีการปะทะด่าทอกับกลุ่มผู้ชุมนุมมาก่อน หรือปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบด้วยการยืนยามมาก่อนเป็นเวลานาน ไม่ควรใช้หน่วยเหล่านี้ ในการใช้กำลังขั้นสุดท้ายเช่นการสลายฝูงชน หรือจับกุมผู้ชุมนุม หากไม่จำเป็น<br /><br /> 7. การรักษาความสงบการชุมนุมเรียกร้อง<br /> 7.1 ต้องเตรียมกำลังให้พร้อมที่จะจับกุมแกนนำและจับกุมขนาดใหญ่ เมื่อมีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น ให้พร้อมที่จะจับกุม แต่ต้องเตรียมกำลังให้พ้นจากสายตาของกลุ่มผู้ชุมนุม และการแสดงกำลังนี้จะต้องไม่มีลักษณะเป็นการข่มขู่ผู้ชุมนุมที่ยังไม่มีการทำผิดกฎหมาย<br /> 7.2 โดยทั่วไป การรักษาความสงบในการชุมนุมเรียกร้อง ตำรวจต้องทำงานเป็นหมู่ ขึ้นไป จะไม่แยกปฏิบัติเป็นรายบุคคล<br /> 7.3 ตำรวจผู้ปฏิบัติงานจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องหรือควบคุมฝูงชนต้องติดเครื่องหมายยศ สังกัด ป้ายชื่อ ให้มีความสูงของตัวอักษรอย่างน้อย ๒ นิ้ว บนด้านนอกของเครื่องแบบหรือบนหมวก ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบ ถึงชื่อ และสังกัดได้ ได้ชัดเจนในระยะพอสมควร<br /> 7.4 การใช้กำลังเข้าควบคุมฝูงชนหรือการสลายฝูงชน ถ้าเป็นไปได้ ต้องใช้หน่วยที่ได้รับการฝึกมาเพื่อทำหน้าที่นี้โดยตรง ไม่ควรใช้กำลังตำรวจสายตรวจที่สนธิกำลังมาเพื่อการสลายฝูงชน<br /> 7.5 ไม่ว่าการรวมตัวของฝูงชน จะถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ตำรวจจะต้องอำนวยความสะดวกการจราจร และจัดการไม่ให้ฝูงชนกีดขวางการจราจร ในการชุมนุมเรียกร้องที่ไม่ได้มีการเตรียมการมาก่อน ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องตัดสินใจโดยดูจำนวนผู้มาชุมนุมว่าจะให้เดินหรืออยู่บนทางเท้า หรือจะให้ใช้ถนนช่องทางใดช่องทางหนึ่ง โดยพิจารณาปัจจัยความสมดุลระหว่างสิทธิในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธในที่สาธารณะ กับการกีดขวางการจราจรและการกระทบสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นและส่วนรวมในการเดินทาง ตำรวจต้องติดต่อกับผู้ประสานหรือแกนนำผู้ชุมนุมเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการเจรจา การจัดการจราจรมีความจำเป็นทั้งการรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุม และช่วยในการควบคุมพื้นที่ชุมนุม การจำกัดผลกระทบการชุมนุมและการสลายการชุมนุม<br /> 7.6 ตำรวจพึงระลึกไว้ว่าผู้ชุมนุมไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดเหมือนกันทั้งหมด แม้ว่าจะมีผู้ชุมนุมบางคนใช้ความรุนแรงหรือทำลายทรัพย์สิน ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงด้วยอาจถูกกักหรือกั้นไว้ไม่ให้ออกจากพื้นที่ชุมนุม ดังนั้นตำรวจจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยง ในการจับกุมหรือใช้กำลังกับผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย หรือมีส่วนก่อเหตุรุนแรงในระหว่างการชุมนุม<br /> 7.8 ตำรวจต้องหลีกเลี่ยงการโต้เถียงหรือใช้คำพูดด่าทอกับกลุ่มผู้ชุมนุม การด่าทอของกลุ่มผู้ชุมนุม หรือใช้คำพูดหยาบคายด่าว่าตำรวจ ไม่เป็นเหตุเพียงพอให้จับกุมผู้ชุมนุมแต่ละบุคคล <br />7.9 ตำรวจจะต้องไม่แสดงอาวุธหรือกำลังว่าจะเข้าใช้กำลังในเหตุการณ์ชุมนุมที่ไม่ผิดกฎหมาย จะแสดงได้เมื่อมีการแจ้งเตือนว่าจะมีการสลายการชุมนุม หรือมีการแจ้งผู้ชุมนุมว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ก่อเหตุวุ่นวาย ให้เลิกการชุมนุมตามที่กฎหมายกำหนด<br />7.10 หน่วยตำรวจจะต้องไม่ส่งตำรวจเข้าไปเจรจาหรือพูดคุยกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีลักษณะใช้ความรุนแรง<br />ตำรวจจะไม่ฝ่าฝูงชนเข้าไปจับกุมผู้ชุมนุมเป็นรายตัว ในพื้นที่การชุมนุมเว้นแต่ ผู้ชุมนุมที่ก่อนเหตุรุนแรงดังกล่าวได้กระทำผิดอย่างรุนแรงและคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งของผู้บัญชาการเหตุการณ์ <br /> 7.11. ผู้บัญชาการเหตุการณ์และผู้บังคับบัญชาจะต้องใช้ความพยายามเพื่อให้แน่ใจว่าภารกิจที่ได้รับมอบประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและมีความละมุนละม่อม ตามหลักการสากล โดยคำนึงสูงสุดถึงสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพส่วนบุคคล และพยายามใช้กำลังหรืออำนาจแต่น้อยสุดถ้าทำได้ การใช้กำลังต้องเป็นไปตามกฎการใช้กำลังและสิ่งแวดล้อมหรือระดับของความจำเป็นของสถานการณ์ความรุนแรง ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เผชิญอยู่ ทั้งนี้มิได้หมายถึงการตัดสิทธิการใช้กำลังป้องกันตนเอง และการกระทำอันจำเป็นเพื่อที่จะป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่กลุ่มผู้ชุมนุม ประชาชนทั่วไป และเจ้าหน้าที่หรือตัวตำรวจเอง<br /><br /> 8.การเผชิญเหตุการชุมนุมของประชาชน<br /> 8.1 เหตุชุมนุมที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน <br /> 8.1.1 ร้อยเวรป้องกันปราบปรามจะต้องไปยังที่เกิดเหตุที่มีการชุมนุมเรียกร้องโดยเร็วที่สุด และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์จนกว่าจะมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงกว่ามาทำหน้าที่แทน ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องแจ้งไปยังศูนย์ควบคุมสั่งการ หรือศูนย์วิทยุว่าได้ทำหน้าที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ และจัดตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า (ศปก.สน.)ใกล้สถานที่ชุมนุม <br /> 8.1.2 ประเมินสถานการณ์ที่จำเป็นที่ตำรวจต้องเข้าจัดการเหตุการณ์เบื้องต้น ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องรายงานเรื่องดังต่อไปนี้ให้เร็วที่สุด<br /> 1) สถานที่และประเภทของกลุ่มผู้ชุมนุม ข้อเรียกร้อง<br /> 2) ผู้ชุมนุมมีการใช้ความรุนแรงหรือมีการทำผิดกฎหมายหรือไม่ <br /> 3) ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องประเมินว่าการชุมนุมเป็นไปตามกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือไม่คือการรวมตัวกันโดยความสงบ ปราศจากอาวุธ และไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ในลักษณะของการกระทำอย่างใดของกลุ่มผู้ชุมนุม เช่นการพูดปราศรัย การยืนประท้วง การนอนหรือนั่งขวางทางเข้าออก การเดินขบวน หรือการแจกใบปลิวเป็นต้น การกระทำหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการบุกรุก การทำลายทรัพย์สิน การขัดขวางการขนส่ง การใช้เครื่องขยายเสียงโดยผิดกฎหมาย การทำร้ายหรือก่อนกวนความสงบเรียบร้อยของผู้อื่น การมีอาวุธหรือสิ่งเทียมอาวุธ เพื่อใช้ทำร้าย ถือว่าเป็นการชุมนุมโดยไม่สงบ ไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ<br /> 4) กลุ่มผู้ชุมนุมที่กระผิดกฎหมายมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหรือไม่<br /> 5) จะมีการขยายพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลือหรือไม่<br /> 6) อันตรายหรือความไม่สะดวกที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไป ชุมชน และตำรวจจากการชุมนุมเช่น เส้นทางจราจรที่ควรหลีกเลี่ยง<br /> 7) มีการใช้รถยนต์ร่วมในการชุมนุมหรือไม่<br /> 8) ขนาดของพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการชุมนุม<br /> 9) จำนวนตำรวจที่ต้องการในการควบคุมหรือจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องรวมทั้งหน่วยพิเศษเช่นจราจร หน่วยอาวุธพิเศษ เป็นต้น<br /> 10) ลักษณะของการเข้าที่เกิดเหตุของหน่วยที่จะมาสนับสนุน<br /> 11) จุดรวมพลและเส้นทางเข้าออก<br /> 12) จุดแถลงข่าว<br /> 13) หน่วยงานอื่นที่จะช่วยในการแก้ไขปัญหาของกลุ่มผู้ชุมนุม เช่นรถพยาบาล รถดับเพลิง รถสุขาเคลื่อนที่<br /> <br /> 8.2 เหตุการณ์ชุมนุมที่สืบสวนหรือรู้ล่วงหน้า หรือมีกำหนดจะจัดชุมนุมไว้ก่อน<br /> 8.2.1 เมื่อได้รับข่าวว่าจะมีการชุมนุม หรือจะมีการจัดงานสำคัญเช่นการประชุมผู้นำสุดยอดอาเซียน และมีข่าวว่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาชุมนุมเรียกร้อง หน่วยตำรวจจะต้องมอบหมายให้ข้าราชการตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ และจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยง การแสวงข้อตกลงใจทางยุทธวิธี และดำเนินการร่างคำสั่งหรือแผนปฏิบัติการณ์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องรับผิดชอบในการวางแผนและประสานงานกับหน่วยทั้งหมดที่มาร่วม ซึ่งรวมถึงการควบคุมและจัดการฝูงชน<br /> 8.2.2 ปัจจัยอย่างน้อยต่อไปนี้จะต้องนำมาพิจารณาและกำหนดไว้ในแผนรักษาความปลอดภัย <br /> 1 ) แบบของเหตุการณ์ หรือการรวมตัวกันที่จะเกิดขึ้น เช่นการชุมนุมทางการเมือง การชุมนุมสังสรรค์ที่มีเป้าหมายทางการเมือง หรือการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรผู้เดือนร้อนเป็นต้น<br /> 2) สืบสวนค้นหาผู้จัดการชุมนุม แกนนำ พฤติกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มผู้ชุมนุม (สงบ รุนแรง หรือให้ความร่วมมือกับตำรวจ) <br /> 3) จะมีกลุ่มต่อต้านหรือผู้ที่เดินผ่านไปมาสามารถมองเห็นหรือใช้สิ่งของขว้างทำร้ายผู้ชุมนุมได้หรือไม่ <br /> 4) เหตุการณ์ชุมนุมหรือเหตุการณ์รวมตัวกันมีการแจกจ่ายสุรา หรือสิ่งมึนเมาหรือไม่<br /> 5) สถานที่จัดการชุมนุม ขนาด ที่ตั้ง ทางเข้าและออก<br /> 6) สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับตั้งศูนย์ปฏิบัติการณ์ส่วนหน้า (ศปก.สน.) และจุดรวมพล<br /> 7) การชุมนุมที่ต้องใช้เครื่องขยายเสียงหรือการเดินพาเหรดได้รับอนุญาต ถูกต้องหรือไม่<br /> 8) หน่วยงานอื่นได้รับแจ้งว่าจะมีการชุมนุมก่อนหรือไม่และควรต้องนำมาร่วมในการวางแผนก่อนหรือไม่ (หน่วยดับเพลิง รถพยาบาล เทศบาล จังหวัด หน่วยข่าว) <br /> 9) จะต้องมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการณ์หลัก (ศปก.หลัก) ที่มีหน้าที่ในการสนับสนุนด้านการข่าว กำลังพล การส่งกำลังบำรุง และการประชาสัมพันธ์หรือไม่ <br /> 10) จะต้องมีการระดมพลจากหน่วยอื่นหรือไม่ มีการเตรียมกองหนุนเมื่อมีข่าวว่าจะมีการชุมนุมเพิ่มเติม หรือมีเหตุร้ายเพิ่มมากขึ้นจากการชุมนุม มีขั้นตอนระดมพลอย่างไร<br /> 11) ควรต้องประชุมร่วมกับเจ้าภาพในการจัดงานหรือแกนนำผู้จะจัดการชุมนุม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ได้มากที่สุด ข่าวสารใดที่อาจทำให้เกิดผลเสียต่อการปฏิบัติงานของตำรวจก็ควรจะรักษาเป็นความลับ “ การข่าวมีความแม่นยำ เที่ยงตรงว่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเท่าใด มาทำอะไร ที่ใด อย่างไร ได้มากเท่าใด ย่อมทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการเหตุมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น”<br /> 12) จำนวนกำลังพลและอุปกรณ์เพียงพอต่อการรับมือเหตุชุมนุมหรือไม่ ได้ขออนุมัติหลักการเพิ่มเติมกำลังจากหน่วยอื่นอย่างไร หน่วยงานใดจะรับผิดชอบในการส่งกำลังบำรุง ให้แก่หน่วยที่มาขึ้นควบคุมการปฏิบัติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสนับสนุนงบประมาณได้เท่าใด เมื่อใด<br /> 13) มีการขออนุมัติ “กฎการใช้กำลัง ” ต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบหรือเป็นเจ้าภาพในการจัดงานเช่น กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด (ในกรณีต่างจังหวัด) โดยอย่างน้อยต้องระบุอำนาจการอนุมัติการใช้กำลังขั้นสุดท้ายต่อกลุ่มผู้ชุมนุม โดยอาจใช้คณะผู้ทำงานระดับยุทธศาสตร์ของแต่ละจังหวัด (คณะกรมการจังหวัดตาม พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534) หรือตามแผนของจังหวัดที่กำหนดไว้ และอาจมีการขออนุมัติใช้ “ระดับการใช้กำลังต่อผู้ชุมนุมตามที่คาดว่าจะก่อเหตุ” ตามการข่าวที่ได้รับไว้เช่นเดียวกับกฎการใช้กำลัง<br /> <br /> 9. บทบาทหน้าที่การวางแผนของหน่วยงานตำรวจระดับจังหวัดหรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล<br /> 9.1 รวบรวมและประเมินค่า รวมทั้งกระจายข่าวสารการจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยง ที่อาจจะเกิดการชุมนุมเรียกร้องในแต่ละเขตอำเภอของจังหวัดในรอบ 1 เดือน ทั้งจากหน่วยงานตำรวจ หน่วยงานอื่น หน่วยข่าวและสื่อมวลชล รวมทั้งสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ให้หน่วยเหนือและสถานีตำรวจได้รับทราบ สืบสวน เฝ้าระวัง ระงานสิ่งบอกเหตุการณ์จัดชุมนุมเรียกร้องเพื่อให้เตรียมการจัดการเหตุได้ทันเวลา และเมื่อมีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีการชุมนุมเรียกร้องให้รายงานเหตุที่น่าสนใจตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีลักษณะที่ 18 บทที่ 1 ให้แก่หน่วยเหนือและหน่วยตำรวจที่รับผิดชอบ สถานที่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะเดินทางไปชุมนุม และมอบหมายให้จัดตำรวจประสานงาน รวมทั้งประสานอำนวยความสะดวกการเดินทางของกลุ่มผู้ชุมนุมระหว่างทาง<br /> 9.2 ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขของกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อร่วมวางแผนจัดการเหตุหรือการจัดงานที่อาจจะมี หรือดึงดูดกลุ่มผู้ประท้วง เช่นการประชุมเกี่ยวกับองค์การการค้าโลก<br /> 9.3 ร่วมประชุมกับผู้ให้การสนับสนุนหรือกลุ่มแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวหรือชุมนุมเรียกร้อง เพื่อสร้างความเข้าใจและตกลงหลักความปลอดภัย หรือการแก้ไขปัญหาร่วมกันตั้งแต่ต้น หากกรณีมีแผนของจังหวัด หรือข้อเรียกร้องมีกฎหมายหรือระเบียบให้ยึดถือปฏิบัติชัดเจน ควรยกเป็นประเด็นให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินงานเป็นหลัก เช่น พรบ.แรงงานสัมพันธ์<br /> 9.4 ประสานงานกับหน่วยงานตำรวจที่ให้การสนับสนุนเช่นหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด กองตำรวจสื่อสาร กองบินตำรวจ เพื่อวางแผน<br /> 9.5 จัดทำแผนหรือคำสั่งปฏิบัติการ<br /> 9.6 ประสานงานเพื่อตรวจสถานที่ที่คาดว่าจะมีการชุมนุม หรือบริเวณแนวเจรจาขั้นสุดท้ายเพื่อจัดสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่คาดว่าจะมี<br /> 9.7 ตรวจความพร้อมของสิ่งอุปกรณ์ในการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง ควบคุมฝูงชน<br /> 9.8 มอบหมายซักซ้อมชุดถ่ายภาพและชุดรวบรวมพยานหลักฐานจากกลุ่มผู้ชุมนุม<br /><br /> 10. แผนเผชิญเหตุ<br />10.1 ให้ ศปก.สน.จัดทำแผนเผชิญเหตุที่อาจเกิดขึ้นตามกฎการใช้กำลังและ “ระดับการใช้กำลังต่อผู้ชุมนุมตามที่คาดว่าจะก่อเหตุ” เช่นแผนการจับกุมแกนนำ แผนการจับกุมขนาดใหญ่ แผนการเจรจา ณ จุดเจรจาขั้นสุดท้าย แผนการใช้อาวุธพิเศษ เช่น แก๊สน้ำตา แผนการใช้รูปขบวนในการสลายการชุมนุม แผนการรวบรวมพยานหลักฐานและขอหมายจับ แผนการควบคุมและสอบสวน<br />10.2 นำการวิเคราะห์ความเสี่ยงและกระบวนการแสวงข้อตกลงใจทางยุทธวิธี ประกอบกับแผนเผชิญเหตุที่ทำไว้มาทำการฝึกซ้อมให้เหมาะสมกับเวลาและแนวทางของการข่าวที่คาดว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะก่อเหตุในลักษณะใด โดยอาจจะมีการก่อเหตุในลักษณะการก่อความไม่สงบเพิ่มเติมจากการชุมนุมในพื้นที่ชุมนุมเท่านั้น<br />10.3 ตำรวจควรจะเตรียมการเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการชุมนุมเรียกร้องแบบที่รุนแรงสุดหรือกลายเป็นการก่อความไม่สงบ จนถึงการจัดการในกรณีมีการชุมนุมที่ไม่ผิดกฎหมาย หัวข้อการฝึกอย่างน้อยต้องมีการฝึกเกี่ยวกับชุดเคลื่อนที่เร็ว การจัดการรักษาความปลอดภัย การเดินขบวนแบบดาวกระจาย การใช้แก๊สน้ำตา และอาวุธที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ความผิดและข้อหารวมถึงเทคนิคการรวบรวมพยานหลักฐาน การบันทึกคำปราศรัยเป็นต้น<br />10.4 การใช้กำลังตามแผนเผชิญเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นควรจะต้องประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักของกฎหมาย ความเป็นห่วงกังวลของสังคม หรือการยอมรับได้ของสังคมในการปฏิบัติ กฎการใช้กำลัง ระดับการใช้กำลัง<br />ต่อผู้ชุมนุมตามที่คาดว่าจะก่อเหตุ สายการบังคับบัญชา การจัดการจราจร<br /><br /> 11. อาวุธและระดับกำลังที่จะใช้ในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง<br /> 11.1 อาวุธเพื่อสังหาร เช่นอาวุธปืนพก อาวุธปืนยาว โดยทั่วไปไม่อนุญาตให้ตำรวจแสดงอาวุธที่ใช้เพื่อการสังหารในการควบคุมฝูงชน แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิในการใช้อาวุธดังกล่าวเพื่อการป้องกันภยันตรายต่อตัวตำรวจเองและผู้อื่นตามหลวักพอสมควรแก่เหตุ และหลักสิทธิมนุษยชนหรือที่ได้กำหนดไว้ในกฎการใช้กำลัง<br /> 11.2 สุนัขตำรวจ จะไม่อนุญาตให้นำมาใช้ในการควบคุมฝูงชน การตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อควบคุมพื้นที่การชุมนุม หรือการสลายฝูงชนแต่อาจนำมาใช้เพื่อการป้องกันสถานที่หรือบุคคลสำคัญ หรือการตรวจค้นวัตถุระเบิดตามที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์สั่งการ<br /> 11.3 ม้าตำรวจ จะนำมาใช้ในการควบคุมฝูงชนในเหตุการณ์สำคัญได้ตามที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์สั่งการ แต่จะไม่นำมาใช้ในการสลายฝูงชนที่ไม่ใช้ความรุนแรง รวมทั้งไม่ใช้กับฝูงชนที่นั่งหรือนอน<br /> 11.4 รถจักรยานยนต์ จะถูกนำมาใช้ในการสืบสวนหาข่าวสังเกตการณ์ การควบคุมการจราจร การควบคุมพื้นที่การชุมนุม แต่จะไม่ใช้ในการสลายการชุมนุม <br /> 11.5 อาวุธที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต <br /> 11.5.1 ให้ใช้อาวุธตามกฎการใช้กำลัง<br /> 11.5.2 จะไม่ยิงไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุม หรือตั้งใจให้ถูกที่หัว คอ หน้า กระดูกสันหลังตรงบริเวณตับ อวัยวะเพศ เว้นแต่เพื่อการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ<br /> 11.5.3 ผู้ได้รับการฝึกตามหลักสูตรมาตรฐานเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ใช้อาวุธพิเศษแต่ละชนิดได้<br /> 11.5.4 เมื่อจะใช้อุปกรณ์ทางเคมีหรืออาวุธพิเศษแต่ละชนิด จะต้องมีการเตรียมรถพยาบาลเพื่อคอยช่วยเหลือผู้บาดเจ็บไว้ในที่เกิดเหตุ<br /><br />12. เทคนิคการควบคุมฝูงชนและการสลายฝูงชนที่อนุญาตให้ใช้ได้<br /> 12.1ให้มีการประกาศแจ้งเตือน ว่าการชุมนุมดังกล่าวผิดกฎหมาย ให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญาที่ 216 ที่บัญญัติว่า “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุ่มเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 115 ที่มั้วสุ่มกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็นว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง” ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิกต้องระวางโทษจำคุก ฯ<br /> 12.2 ให้มีการแจ้งเตือนถึงกำหนดเวลาและเส้นทางการออกจากที่ชุมนุม<br /> 12.3 นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะใช้วิธีการจับกุมแกนนำ และกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ยอมออกจากที่ชุมนุมตามคำสั่งเตือนดังกล่าวมากกว่าที่จะใช้กำลังสลายการชุมนุม <br /> 12.4 ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะใช้กระบวนการแสวงข้อตกลงใจทางยุทธวิธี ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายและการยอมรับของสังคมในการตกลงใจเลือกวิธีการปฏิบัติในการแก้ไขควบคุมฝูงชน โดยคำนึงถึงปัจจัย<br /> 12.4.1 ภารกิจหรือข้อกำหนด หรือนโยบายที่หน่วยเหนือหรือผู้มีอำนาจอนุมัติใช้กำลังขั้นสุดท้ายสั่งการหรืออนุมัติให้ดำเนินการได้<br /> 12.4.2 ขนาดของฝูงชนและอาวุธหรือความรุนแรงรวมทั้งผลกระทบของการแก้ไขปัญหา<br /> 4.3 กำลังและอุปกรณ์ของตำรวจที่มีอยู่<br /> 12.4.4 เวลาที่เป็นเส้นตายหรือที่มีอยู่<br /> 12.4.5 สภาพความเกื้อกูลของสถานที่หรือพื้นที่ที่ชุมนุมรวมทั้งกระแสความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่<br /> 12.4.6 การยอมรับได้ของสังคมหรือความชอบธรรมทางกฎหมาย<br /> 12.4.7 การปฏิบัติจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่<br /> 12.4.8 หากมีการจับกุมเฉพาะแกนนำจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมากกว่าการสลายฝูงชนหรือไม่<br /> 12.4.9 มีเส้นทางที่จะให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากที่ชุมนุมได้ปลอดภัยหรือไม่<br /> 12.4.10 ต้องมีการแจ้งเตือนหรือเจรจาตกลงกับแกนนำผู้ชุมนุมให้เข้าใจถึงการใช้ยุทธวิธีการแก้ไขปัญหา โดยจะต้องมีการประกาศเป็นภาษาไทยหรือภาษาที่กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เข้าใจ คำสั่งแจ้งเตือนหรือการตกลงกับแกนนำนี้ ควรต้องกระทำเมื่อหน่วยตำรวจที่จะแก้ไขปัญหาฝูงชนมีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามที่ได้ประกาศ<br /> 12.4.11 ต้องมีการเตรียมแผนเผชิญเหตุในกรณีที่สถานการณ์แปลเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น<br /> 12.5 ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องประเมินโดยใช้ระบบการแสวงข้อตกลงใจยุทธวิธีที่สถานการณ์หรือการปฏิบัติของกลุ่มผู้ชุมนุมเปลี่ยนไป<br /> 12.6 ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องพิจารณาและรับผิดชอบถึงขั้นตอนที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปที่ผ่านไปมาไม่ให้ได้รับอันตรายจากผู้ชุมนุม<br /> 12.7 เมื่อมีการสลายการชุมนุมหรือผักดันกลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องแน่ใจว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะไม่ถูกผลักดันไปในพื้นที่อันตรายต่อผู้ชุมนุมเองหรือผู้ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว เช่น ไม่ผลักดันได้กลุ่มผู้ชุมนุมไปจนมุ่ม หรืออยู่ในซอก หรือซอย กระจากแคบ<br /> 12.8 การไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องกระจายเสียงและเดินพาเหรด ในทางสาธารณตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ไม่เป็นเหตุเพียงพอที่ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย<br /> 12.9 ถ้าการเจรจาหรือการประกาศให้ฝูงชนเลิกมั่วสุมชุมนุมตามประมวลกฎหมายอาญา 216 ไม่เป็นผล และเมื่อ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ตกลงใจที่จะใช้เทคนิคในการสลายฝูงชน ตามระบบการแสวงข้อตกลงใจทางยุทธวิธี จะต้องใช้เทคนิคจากเบาไม่หาหนักถ้าใช้ได้ โดยอาจจะใช้เทคนิคใจเทคนิคหนึ่ง โดยมิต้องใช้ตามลำดับตามความรุนแรงของสถานการณ์หรือความปลอดภัยของผู้ชุมนุมและตำรวจดังนี้<br /> 12.9.1 การแสดงกำลังของตำรวจรวมถึงการใช้อุปกรณ์รถยนต์และหน่วยเคลื่อนที่เร็ว<br /> 12.9.2 ทำการปิดล้อมสถานที่ชุมนุมและจับกุมแกนนำพร้อมกันหรือจับกุมขนาดใหญ่ (จำนวนผู้ถูกจับกุมเกินกว่า 30 คนขึ้นไป)<br /> 12.9.3 รูปขบวนควบคุมฝูงชนเคลื่อนที่ กดดันฝูงชนในเคลื่อนที่ออกจากที่ชุมนุมโดยใช้โล่ และกระบอง<br /> 12.9.4 การใช้แก๊สน้ำตา หรืออุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต<br /> 12.9.5 อุปกรณ์เสียงและแสงที่ทำให้ตกใจ ซึ่งอาจจะรวมถึงอุปกรณ์ที่มีแก็สน้ำตา<br /> 12.9.6 การใช้รถฉีดน้ำไล่ให้สลายจากพื้นที่การชุมนุม <br /><br />13. การจับกุมและการสอบสวน<br /> 13.1 การจับกุมขนาดใหญ่<br /> 13.1.1 เมื่อต้องมีการจับกุมผู้ชุมนุมหรือแกนนำพร้อมกันหลายคน ต้องมีการวางแผน จัดกำลังตำรวจเป็นทีมจับกุมขนาดใหญ่ จัดให้มีการฝึกซ้อมการจับกุมขนาดใหญ่<br /> 13.1.2 เมื่อมีความจำเป็นต้องทำการจับกุม ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องแน่ใจว่ามีกำลังตำรวจเพียงพอในการจับกุมและคุ้มกัน โดยควรต้องทำการประกาศเตือนหรือผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกไปจากพื้นที่ชุมนุมก่อน แล้วจึงจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลือที่ไม่ยอมออกจากพื้นที่ชุมนุม<br /> 13.1.3 เมื่อต้องทำการจับกุมขนาดใหญ่ ผู้ต้องถูกจับกุมเกินกว่า 30 คนขึ้นไป จะต้องมีวางแผน ซักซ้อม เกี่ยวกับการขนส่งผู้ถูกจับกุมตามแบบฝึก ไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ถูกจับกุม ผู้ถูกจับกุมที่ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการรักษาพยาบาล และต้องให้ผู้ถูกจับกุมได้รับสิทธิและได้รับแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกจับกุมอย่างครบถ้วนตามกฎหมายตามมาตรฐานสากล เช่นการได้รับการเยี่ยมตามสมควร การแจ้งการถูกจับกุม การพบทนายความสองต่อสอง มีการแยกสถานที่ควบคุม ชาย หญิง เป็นต้น<br /> 13.1.4 ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องเลือกที่จะตัดสินใจ ในความจำเป็นในการจับกุมเป็นรายบุคคล หรือจับกุมพร้อมกันหลายคนหรือจับกุมขนาดใหญ่ ในฐานะเทคนิคการควบคุมฝูงชน โดยพิจารณาว่า <br /> 1)การจับกุมจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น หรือการไม่จับกุมจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่า <br /> 2)ความรุนแรงการทำผิดกฎหมาย ถ้าไม่จับกุมแล้วจะทำให้มีความผิดเกิดมากขึ้น ทำให้สถานการณ์การชุมนุมเลวร้ายขึ้นหรือไม่ <br /> 3)การจับกุมเป็นรายบุคคลหรือการจับกุมขนาดใหญ่ จะทำให้การชุมนุมเลิกได้เร็วขึ้นหรือไม่ <br /> 4) มีการจัดเส้นทางให้ผู้ร่วมชุมนุมที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายออกจากที่เกิดเหตุหรือไม่ และมีเส้นทางให้ตำรวจนำผู้ถูกจับออกจากพื้นที่ชุมนุมหรือไม่<br /> 5) มีการเจรจากับแกนนำหรือผู้แทนกลุ่มผู้ชุมนุมก่อนหรือไม่<br /> 6) มีแผนเผชิญเหตุ หากเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นจากการจับกุม เตรียมไว้หรือไม่<br /> 7) กำลังชุดจับกุมขนาดใหญ่ จะจัดจากชุดใด หน่วยใด<br /> 13.1.5 ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องมีการกำหนดให้มีการจัดเก็บพยานหลักฐานของแต่ละบุคคลที่จะจับกุมเป็นรายบุคคล<br /><br /> 13.2 การก่อการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานหรือก่อความไม่สงบโดยผู้ชุมนุม<br /> 13.2.1 กลุ่มผู้ชุมนุมอาจก่อการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจ หรือก่อความไม่สงบ เช่น นั่งหรือนอนปิดถนน ปิดทางเข้าออกสำนักงาน หรือสถานที่ราชการสำคัญ การปฏิบัติที่ดีที่สุดของตำรวจคือการแจ้งเตือนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดกฎหมาย ถ้ายังขัดขืนจะถูกจับกุมดำเนินคดี ให้ตำรวจกำหนดเวลาให้กลุ่มผู้ชุมนุมปฏิบัติตาม หากมีบางกลุ่มยังคงปฏิบัติการที่ผิดกฎหมายต่อไป ผู้บัญชาการเหตุการณ์ จึงพิจารณาถึงการจับกุม การจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ขัดขืนควรใช้การพูดเจรจามากกว่าการใช้กำลังตำรวจเข้าปะทะหรือบังคับ <br /> 13.2.2 ผู้ชุมนุมที่ขัดขืนการจับกุมด้วยการนั่งเฉยขัดขืนการจับกุมของตำรวจแบบนิ่งเฉย ควรต้องจับกุมแล้วใช้เครื่องพันธนาการ แล้วจึงใช้คำพูดบังคับสั่ง หรือยกตัวผู้ถูกจับขึ้น หรือการจับกดจุดให้เดินไปตามคำสั่งของตำรวจผู้จับกุม<br /> 13.2.3 หากมีกลุ่มผุ้ชุมนุมที่ล็อคแขนติดกับเสาหรือรั้วหรือล็อคแขนขา ผู้ชุมนุมดังกล่าว จะได้รับแจ้งเตือนว่าจะถูกจับกุมก่อนถ้ายังคงกระทำการดังกล่าวต่อไป เพื่อให้ผู้ถูกแจ้งเลิกการปฏิบัติดังกล่าว ตำรวจจึงจะเข้าไปจับกุมหรือปลดล็อคดังกล่าว หากผู้ชุมนุมไม่เลิกปฏิบัติดังกล่าว<br /><br /> 14. การดำเนินคดี<br /> 14.1 ถ้ามีการกระทำผิดกฎหมายในการชุมนุม หรือมีการจับกุมผู้ชุมนุม ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องจัดการให้มีการสืบสวน สอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเน้นการดำเนินคดีกับแกนนำ หรือผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง หรือกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจนเป็นหลัก <br /> 14.2 การกำหนดเงื่อนไข หรือการยอมรับปาก หรือสัญญา ว่าจะไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มแกนนำหรือกลุ่มผู้ชุมนุมที่กระทำผิดกฎหมาย ควรจะได้รับการเสนอแนะโดย ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต่อ ผู้บังคับบัญชาระดับยุทธศาสตร์ หรือผู้ประสานงานฝ่ายตำรวจ ว่าเป็นการสั่งการที่อยู่นอกเหนืออำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจ และจะเป็นปัญหาในทางกฎหมายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องรับผิด ทั้งทางกฎหมายอาญา ทางแพ่ง และทางกฎหมายปกครอง<br /><br /> 15. การบันทึกภาพ บันทึกเสียง หรือบันทึกเหตุการณ์<br /> 15.1.เป็นนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องมีการบันทึกภาพ และบันทึกเสียงของกลุ่มผู้ชุมนุม ในการชุมนุมสาธารณะ โดยวิธีการที่ไม่กระทบกระเทือนสิทธิในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธในที่สาธารณะ หรือสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ตามอำนาจหน้าที่ของตำรวจตามกฎหมายในการสืบสวนก่อนเกิดเหตุ โดยให้บันทึกวันเวลาที่บันทึกภาพ ไว้ใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสาธารณชน<br /> 15.2.การเก็บภาพการชุมนุมในที่สาธารณะ ให้หน่วยงานตำรวจคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลที่จะไม่ถูกละเมิด ในการเผยแพร่ภาพที่อาจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล<br /> 15.3 ให้ตำรวจประสานหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานราชการหรือเอกชน ที่มีระบบโทรทัศน์วงจรปิดในการบันทึกภาพและเสียงการชุมนุมในที่สาธารณะไว้เป็นพยานหลักฐาน และเป็นการป้องปรามไม่ให้ผู้ชุมนุมก่อเหตุหรือใช้ความรุนแรงหรือกระทำผิดกฎหมาย เช่นพูดปราศรัยหมิ่นประมาทผู้อื่น <br /><br /> <br /><br /><br /> 16. การฟื้นฟู และการช่วยเหลือเยียวยา<br /> 16. 1 ให้ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยา จัดระเบียบสถานที่ชุมนุมและขอรับสิทธิผู้เสียหาย ตามที่แผนกำหนดไว้<br /> 16.2.หากไม่มีแผน ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องจัดให้มีระบบจัดส่งผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ การส่งผู้ถูกจับกุมไปรับการรักษาพยาบาล และดำเนินการช่วยเหลือเยียวยา ตามสิทธิของผู้เสียหาย หรือผู้ต้องหาตามที่กฎหมายกำหนด<br /><br /> 17. การสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ และการปฏิบัติต่อสื่อมวลชน<br /> 17.1 หากไม่มีการแต่งตั้งโฆษกประจำหน่วยตำรวจ เมื่อมีการจัดงานสำคัญ ควรมีการแต่งตั้งโฆษกหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายประจำสัมพันธ์ ประจำ ศปก.สน.และจัดตั้งจุดแถลงข่าว เพื่อใช้เป็นที่แถลงข่าว และรองรับสื่อมวลชน ซึ่งควรเป็นสถานที่ที่ห่างจาก ศปก.สนพอสมควร<br /> 17.2 เป็นหน้าที่ของโฆษก หรือหัวหน้าฝ่ายประสัมพันธ์ใน ศปก.สน. ที่จะต้องจัดตั้งคณะทำงานในการเตรียมการด้านการสื่อสารด้านมวลชนสัมพันธ์ หรือประชาสัมพันธ์เพื่อเป้าหมายในการทำให้ประชาชนและสังคมสนับสนุนการทำงานของตำรวจ โดยจัดการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ เป็นเกณฑ์ในการกำหนดหารือเสนอแนะแก่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ให้การปฏิบัติการทั้งหมดของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันแก้ไขเหตุชุมนุมเรียกร้องหรือการควบคุมฝูงชน มีความได้เปรียบ เป็นที่ยอมรับ เชื่อถือของสังคม และมีการสอดประสานไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน <br /> 17.3 หน่วยงานทั้งหมดในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามแนวทางการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อให้การดำเนินงานทั้งมวลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการสร้างเสริมภาพลักษณ์ของตำรวจ เพื่อเป้าหมายในการทำให้ประชาชนและสังคมสนับสนุนการทำงานของตำรวจ โดยจัดการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ ให้การปฏิบัติการทั้งหมดของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันแก้ไขเหตุการชุมนุมเรียกร้องหรือการควบคุมฝูงชน มีความได้เปรียบ เป็นที่ยอมรับ เชื่อถือของสังคม และมีการสอดประสานไปในทิศทางที่สอดคล้องกันในการแก้ปัญหาการชุมนุมเรียกร้องในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ <br /> 17.4 สื่อมวลชนมีสิทธิที่จะสังเกตการณ์ชุมนุมเรียกร้องในที่สาธารณะ และสิทธิในการบันทึกภาพและบันทึกเสียงในที่สาธารณดังกล่าว<br /> 17.5 สื่อมวลชนจะได้รับอนุญาตให้ไปสังเกตในการชุมนุมและเป็นพยานที่จะบันทึกชี่อของผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมได้ เมื่อมีการประกาศเตือนผู้ชุมนุมว่าการชุมนุมเป็นการกระทำผิดกฎหมายให้เลิกการกระทำการชุมนุมที่เป็นการก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองตามมาตรา 215 และ 216 ตามกฎหมายอาญา สื่อมวลชนที่ได้รับการบันทึกชื่อที่อยู่ สังกัด โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ ศปก.สน.อาจจะได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการเหตุการณ์ให้ไปบันทึกภาพการจับกุมได้ การจะจำกัดไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปบันทึกภาพหรือสังเกตการณ์การชุมนุม หรือการปฏิบัติของตำรวจในการจัดการแก้ไขปัญหาการชุมนุมก็ด้วยเหตุผลความปลอดภัยเท่านั้น<br /> 17. 6 โฆษกหรือหัวหน้าฝ่ายประสัมพันธ์ ใน ศปก.สน.ต้องจัดให้มีการแถลงข่าว ตามแผนที่กำหนด หรือตามวงรอบ หรือเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ หรือเมื่อมีข่าวลือ ให้สอดคล้องกับการประชาสัมพันธ์ของ ศปก.หลัก และการประชาสัมพันธ์ของ ศปก.ตร. โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการข่าวสาร เกี่ยวกับกฎการใช้กำลัง ระดับการใช้กำลังต่อผู้ชุมนุมตามที่คาดว่าจะก่อเหตุ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน และสร้างความน่าเชื่อถือชอบธรรมในความจำเป็นของตำรวจในการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง หรือควบคุมฝูงชน<br /> <br /> 18.การรายงาน<br /> 18.1 เมื่อมีเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องเกิดขึ้น หัวหน้าสถานีตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุต้องดำเนินการรายงานเหตุการชุมนุมเรียกร้อง เป็นเหตุที่น่าสนใจต้องรายงานตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีลักษณะที่ 18บทที่ 1<br /> 18.2 เมื่อเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องได้ยุติลง ให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์ รายงาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการดำเนินการตามนโยบายนี้ ข้อที่ปฏิบัติได้ผลดีทำให้การจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องได้ผล และข้อที่ควรปรับปรุง หรือควรนำไปเป็นบทเรียน หรือพัฒนาการฝึก หรือแก้ไขปรับปรุง ระเบียบ นโยบาย กฎหมาย ภายใน 10 วันทำการนับแต่การชุมนุมยุติลง ต่อ ศปก.ตร.ผ่าน ศปก.หลัก<br /><br /> 19. การฝึกอบรม ประเภทครูฝึก<br /> 19.1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะจัดสรรงบประมาณ เพื่อทบทวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และทำการฝึกกำลังพลใหม่ เพื่อทำหน้าที่การจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง หรือควบคุมฝูงชน และให้มีการบันทึกผลการฝึกอบรมไว้ ในสมุดประจำตัวครูฝึก หรือสมุดประจำตัวสายตรวจ ตามระบบสมรรถนะประจำตำแหน่ง ระดับ ผู้ปฏิบัติงานในระดับ ยุทธศาสตร์(ระดับทอง) ระดับยุทธการ(ระดับเงิน) และระดับผู้ปฏิบัติงาน(ระดับบรอนซ์) ตามตำแหน่งหน้าที่ โดยเฉพาะผู้ใช้อาวุธพิเศษ หรืออาวุธที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น ผู้ถือและใช้เครื่องยิงแก๊สน้ำตา ผู้ถือหรือใช้ปืนยิงกระสุนยาง<br /> 19.2 ให้กองบัญชาการศึกษา กำหนดระเบียบในการบันทึก ผลการปฏิบัติงานจริง และการฝึกอบรมของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง และจัดทำเนียบและประเภทครูฝึก การให้รหัสครูฝึกในการลงบันทึกการปฏิบัติและการฝึกของผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง การควบคุมฝูงชน ในสมุดประจำตัวครูฝึก และสมุดประจำตัวสายตรวจตามระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีลักษณะที่ 24 บทที่ 2<br /> 19.3 กองบังคับการตำรวจหรือ ตำรวจภูธรจังหวัด ต้องจัดให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนในระดับปฏิบัติการ ได้ผ่านการฝึกตามตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่จริง ก่อนปฏิบัติหน้าที่ทุกคน<br /> -------------------------------------------------------------------<br /> ตรวจแล้วถูกต้อง<br /> พ.ต.อ.<br /> (ณรงค์ ทรัพย์เย็น)<br /> ผกก.ฝอ.2 บก.อก.ภ.7Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-48901891561619748342009-06-28T00:01:00.000-07:002009-06-28T00:04:55.154-07:00การจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยง<div align="center"><strong>การจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยง</strong> (Analytical Analysis Management=ARM)</div><div align="center"> เรียบเรียงโดย พ.ต.อ.ณรงค์ ทรัพย์เย็น</div>หน่วยสืบสวนสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) ได้จัดทำระบบวิเคราะห์ปัจจัยความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ ดังนี้<br /> 1.ขนาดของเหตุการณ์ รวมถึง ความต้องการกำลังพลและสิ่งอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการจัดการเหตุการณ์ ต้องใช้ทรัพยากรระดับใด จำนวนเท่าใด ถ้าเป็นขนาดเหตุการณ์ใหญ่ ความเสี่ยงก็จะมากขึ้น<br /> 2. ภัยคุกคามรวมถึงภัยที่อาจรู้ล่วงหน้า โดยทั้งภัยที่มนุษย์ทำขึ้น เช่น การก่อการร้าย การชุมนุมประท้วง การมีกิจกรรมประท้วงเช่นจัดแข่งรถแรลลี่เพื่อปาไข่ใส่ผู้นำที่มาร่วมประชุมหรือมาเป็นประธานเปิดงาน หรือภัยที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ<br /> 3. ความสำคัญของเหตุการณ์หรืองานที่จัด บางเหตุการณ์ เป็นเหตุการณ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ การเมือง และหรือเป็นสัญญาลักษณ์ที่สำคัญที่อาจก่อให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดเป็นเป้าหมายดึงดูดให้เกิดการชุมนุมเรียกร้อง เช่น วันครบรอบเกิดเหตุการณ์ สลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ต.ค. หรือเหตุการณ์ชุมนุมเพื่อรำลึก 16 ต.ค.<br /> 4.ช่วงระยะเวลาเหตุการณ์ ถ้าเหตุการณ์หรือการจัดงานมีระยะเวลายาว ก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้น ระดับความเสี่ยงก็จะเพิ่มมากขื้นไปด้วย<br /> 5.สถานที่ บางสถานที่ที่เกิดเหตุหรืสถานที่จัดงานเป็นสถานที่น่าชี้ชวน ดึงดูดให้บางกลุ่มเป้าหมายหรือคนร้าย อยากเข้าโจมตีหรือก่อเหตุ เช่น รัฐสภา หรือสัญลักษณ์ของเมือง หรือกลุ่มทุน เช่น อาคารเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์นิวยอร์ค อาคารเพ็นตากอนของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เป็นต้น นอกจากนี้เมื่อพิจารณาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และหลักการทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อมแล้ว บางเมืองที่เป็นสถานที่จัดงาน มีทางเข้าออกเมืองเพียงสองทาง ควบคุมผู้ชุมนุมได้ง่าย หรือมีสภาพเป็นเมืองที่ห่างจากเมืองบริวารอื่น ๆหรือเป็นเกาะกลางทะเล เมื่อมีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องจากเมืองอื่นมา ทางการสามารถควบคุมหรือแจ้งเตือนจัดการปัญหากับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ง่าย หรือเมืองที่จัดงานผู้คนและผู้นำทางการเมืองเช่นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่เป็นฝ่ายรัฐบาล หรือมีฐานเสียงรัฐบาลหนาแน่น ก็น่าเชื่อว่าจะไม่มีกลุ่มผู้มาต่อต้านหรือคุกคามการประชุม <br /> 6. ผู้เข้าร่วมงาน หมายถึงกลุ่มคนที่มาร่วมงานหรือมาร่วมชุมนุมเรียกร้อง ว่ามีพื้นฐาน ภูมิหลังทางวัฒนธรรม การเมือง และศาสนาอย่างไร ถ้าเมืองนั้นเป็นเมืองฐานเสียงของฝ่ายรัฐบาลก็น่าเชื่อว่าจะมีกลุ่มพลังมวลชนที่จะมาชุมนุมคัดค้านจากคนในพื้นที่เป็นจำนวนน้อย แต่จะมีกลุ่มผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมาก<br /> 7. การประชาสัมพันธ์หรือความสนใจของสื่อ หากมีการประชาสัมพันธ์มาก ก็จะจูงใจให้คนบางกลุ่มต้องการช่วงชิงพื้นที่ข่าว เพื่อสร้างภาพลักษณ์หรือเพื่อสร้างราคาหรือเพิ่มมูลค่าหรือค่าตัวให้กับกลุ่มหรือให้กับตนเอง โดยอาศัยเหตุการณ์ หรือกระแสความเกลียดชังของชาวบ้านต่อเจ้าหน้าที่หรือตำรวจ หรือสร้างข่าวจากความดังของงานหรือกิจกรรมสำคัญหรือการชุมนุมที่จะจัดขึ้น<br /> 8.ความสำคัญของบุคคลสำคัญที่มาร่วมงาน หากมีบุคคลสำคัญระดับผู้นำประเทศ หรือ ดารามาร่วมงาน ก็จะต้องมีการรักษาความปลอดภัยตามสถานะหรือระดับภัยคุกคามของแต่ละบุคคลสำคัญ ยิ่งมีบุคคลหรือดารา ที่มีผู้สนใจมาก คลั่งไคล้หรือมีกลุ่มผู้นิยม (FAN CLUB) หรือที่นิยมเรียกว่า “แฟนพันธุ์แท้” เป็นจำนวนมากเท่าใด ความเสี่ยงก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น<br /> เมื่อนำปัจจัยข้างต้นมารวมกันแล้วเพื่อหาค่าเฉลี่ย สามารถจัดกลุ่มของปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยและนำมาหาค่าเฉลี่ยของแต่ละปัจจัยรวมได้ดังนี้<br /> 1.ภัยคุกคาม (THREAT) คือ ปัจจัยที่ 1, 2, 3, 5, 6, 7, 8 (เว้น 4 )<br /> 2.จุดอ่อน (VULNERABILITY) หมายถึง ข้อด้อยของฝ่ายเราหรือฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายจัดงาน คือปัจจัยในข้อ 1, 4 และ 5<br />3.ผลกระทบ (IMPACT) คือปัจจัยในข้อ 1, 3, 5 ,6 , 7 และ 8 (เว้น 4 และ 2)<br /><br />หน่วยงานสืบสวนสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา(FBI)ได้คิดระบบการจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยง (Analytical Risk Management (ARM) ได้มีการนำปัจจัยทั้ง 3 ตัวมาให้ค่าระดับ 1-4<br />ค่าระดับ 4 หมายถึง ภัยคุกคามหรือจุดอ่อนหรือผลกระทบที่สูงสุด เช่น ผลกระทบที่ทำให้ผู้มาร่วมงานหรือบุคคลสำคัญที่มาร่วมงานถึงตาย บาดเจ็บหรือทำให้ต้องล้มเลิกการประชุม จุดอ่อนระดับ 4 เช่น ไม่มีระบบการป้องกัน และภัยคุกตามระดับ 4 คือการใช้อาวุธระดับรุนแรงมากสุด เช่น การจลาจลเผาเมือง หรือการใช้อาวุธปืนลอบยิงเป้าหมายสำคัญ<br /> ค่าระดับ 1 หมายถึง การมีผลกระทบภัยคุกคามจุดอ่อนอย่างเบาบาง<br /> ค่าระดับ 2 – 3 เป็นการให้ค่าแบ่งช่วงระหว่างระดับ 1 – 4 ของภัยคุกคามจุดอ่อน และผลกระทบ<br />สูตรการคำนวณระดับความเสี่ยง(Risk)=ผลกระทบ( Impact)Xภัยคุกคาม(Threat) x จุดอ่อน(Vulnerability) โดยเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ R = ITV<br /> ยกตัวอย่างเช่นถ้าเป็นการจัดประชุมรัฐมนตรีการค้าโลก มีผลกระทบ(I)ต่อการลงนามลดภาษี เศรษฐกิจของประเทศในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการประชุมนี้ถ้าลงนามไม่ได้ ประเทศต้องมีเศรษฐกิจถดถอยตลอดไป ดังนี้ ผลกระทบควรจะมีค่าเท่ากับระดับสูงสุดคือ 4 <br /> หากมีข่าวว่าจะมีกลุ่มต่อต้านประกาศว่าจะชุมนุมประท้วงเพื่อล้มการประชุมนี้ เพราะเป็นที่ชุมนุมของผู้นำประเทศนายทุน และกลุ่มนี้เคยประท้วงล้มการประชุมรัฐมนตรีองค์การค้าโลก ที่เมืองซีแอตเติ้ลมาแล้วเมื่อปี ค.ศ.1999 ดังนี้ค่าภัยคุกคาม(T) ควรจะอยู่ที่ระดับสูงสุดคือ 4 และ เมืองที่จะจัดการประชุมมีลักษณะเป็นเมืองที่ผังเมืองไม่ดี มีคนจนหรือสลัมมาก แรงงานต่างด้าวมาก เข้าออกประเทศได้ง่าย อยู่ใกล้กับเมืองที่เป็นฐานของกลุ่มก่อการร้าย แต่มีระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ส่วนระบบตำรวจหรือการรักษาความปลอดภัยไม่ได้มาตรฐานสากล ตำรวจที่ฝึกและเตรียมไว้เพื่อจัดการแก้ไขเหตุชุมนุมประท้วงทั้งประเทศมีเพียง 2 กองร้อย ซึ่งขาดอุปกรณ์ที่ทันสมัยเช่นแก๊สน้ำตา ดังนี้ค่าของจุดอ่อนจึงควรมีค่าเท่ากับ 3 เมื่อนำทั้งสามปัจจัยรวม มาเข้าสมการ R=ITVจะเท่ากับ 4X4X3 =48 ดังนั้นค่าความเสี่ยงคือ 48จากคะแนนเต็ม 64 ซึ่งเป็นระดับเสี่ยงมากสุด<br />การตีความค่าระดับคะแนนความเสี่ยง และคำแนะนำในการปฏิบัติเพื่อแก้ไขเหตุ<br />ระดับคะแนน<br />ระดับความเสี่ยง<br />คำแนะนำ<br />36-64<br />เสี่ยงมากสุด<br />1.ควรล้มเลิกภารกิจหรือการจัดงาน<br />2.หากไม่แก้ไขเหตุปัจจัยในการลดภัยคุกคามด้วยมาตรการด้านการข่าวหรือการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์และเสริมมาตรการในการลดจุดอ่อนเสริมจุดแข็งจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงสุด เช่น มีการเสียชีวิต หรือการจัดงานสำคัญนี้ต้องล้มเลิก เสียหน้าหรือเสียชื่อเสียงของประเทศ<br />24-35<br />เสี่ยงสูง<br />1.ควรดำเนินมาตรการด้านการข่าวและเสริมมาตรการด้านการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ การประชาสัมพันธ์และมาตรการป้องกันให้มากตามประเด็นที่ได้สำรวจหรือสืบสวนเน้นการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับระดับการใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมหรือภัยคุกคามตามสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(Graduated Response Matrix = GRM) <br />2.ทำการฝึกซ้อมผู้บังคับบัญชา ศูนย์ปฏิบัติการ เตรียมหน่วยตำรวจ หรือหน่วยกำลังในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น ให้มีความเข้มในการฝึกและผสมกับการสืบสวนเพื่อให้ทราบภัยที่จะเกิดขึ้น ทำแผนเผชิญเหตุ และฝึกซ้อมตามแผนไว้หลาย ๆ กรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ ระดับการใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมหรือภัยคุกคามตามสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(Graduated Response Matrix = GRM) <br />16-23<br />เสี่ยงปานกลาง<br />1.ควรดำเนินมาตรการด้านการข่าวและเสริมมาตรการด้านการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ การประชาสัมพันธ์และมาตรการป้องกันให้เหมาะสมกับความสมดุลในความคุ้มค่ากับการลงทุนและผลที่ตอบแทน<br />2.เตรียมการฝึกซ้อม ทำแผนเผชิญเหตุระดับการใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมหรือภัยคุกคามตามสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(Graduated Response Matrix = GRM) <br />8-15<br />เสี่ยงบ้าง<br />1.ดำเนินการด้านการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ให้มากเพื่อสร้างภาพลักษณ์<br />2.ดำเนินการมาตรการด้านการข่าวเพื่อลดภัยและหามาตรการด้านการป้องกันให้เหมาะกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น<br />1-7<br />เสี่ยงน้อย<br />1.ดำเนินการด้านการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์เพื่อที่จะลดภัยให้มากสุด เสริมความมีเกียรติ น่าเชื่อถือหน้าตาของหน่วยงาน เมือง และประเทศชาติ<br />2.สร้างความเข้าใจกับประชาชนและเสริมภาพลักษณ์ให้แก่หน่วยงาน เมือง ประเทศชาติPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-69202965491194162572009-06-27T23:59:00.000-07:002009-06-28T00:01:42.501-07:00ระเบียบการนำหน่วย ผบ.ร้อยควบคุมฝูงชนระเบียบการนำหน่วย<br /> <br /> หัวหน้าหน่วยกำลังที่จะต้องเข้าปฏิบัติภารกิจทางยุทธวิธี เช่นการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง หรือไปรักษาความสงบรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญ เช่นไปตั้งจุดตรวจ จุดสกัดคนร้าย รักษาความปลอดภัยในการชุมนุม หรือในการปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังเป็นจำนวนมาก คือตั้งแต่หนึ่งหมู่ขึ้นไปนั้น หน่วยงานตำรวจหรือหน่วยกำลังต่าง ๆทั่วโลก ได้นำระบบการจัดการของผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าหน่วยทางทหารมาประยุกต์ใช้ เพื่อการเตรียมการและเข้าปฏิบัติการภารกิจต่าง ๆ ทั้งที่เป็นภารกิจทางทหารหรือที่ไม่ใช่ภารกิจทางทหารเช่นการรักษาสันติภาพ ซึ่งเรียกระบบการจัดการนี้ว่า “ระเบียบการนำหน่วย”(Troops Leading Proceduresย่อว่า TPLs)<br />ซึ่งระเบียบการนำหน่วยนี้ จะเป็นระบบการจัดการที่เป็นเครื่องช่วยให้หัวหน้า หรือผู้บังคับบัญชาหน่วยกำลังแต่ละระดับ ได้ใช้เป็นเครื่องมือจัดการเพื่อเตรียมการและเข้าปฏิบัติภารกิจได้ครบวงจรไม่หลงลืมและมีการจัดการที่เป็นระบบ เป็นขั้นตอนชัดเจน ตั้งแต่เริ่มต้นรู้ว่าจะต้องไปปฏิบัติภารกิจ ขณะเข้าปฏิบัติการ จนถึงเมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้น อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไปที่เป็นผู้มอบภารกิจ ได้ใช้เป็นเครื่องมือหรือตัวชี้วัดเพื่อตรวจสอบ(Checklists)การเตรียมการและการเข้าปฏิบัติภารกิจของหัวหน้าหน่วยรอง หรือผู้ใต้บังคับบัญชาระดับหัวหน้าหน่วยแต่ละระดับ<br /> ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติของ ผู้บังคับบัญชาที่ควบคุมกำลังตำรวจในการปฏิบัติภารกิจการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง ทุกระดับตั้งแต่ ผู้บังคับหมู่ ผู้บังคับหมวด ผู้บังคับกองร้อย ผู้บัญชาการกองกำลังควบคุมฝูงชน ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า ศูนย์ปฏิบัติการหลัก ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหลัง ได้มีระบบการจัดการกับกำลังพลที่มาร่วมปฏิบัติการในการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง หรือมีเครื่องมือที่เป็นระบบ เป็นขั้นตอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเข้าใจตรงกัน และเป็นระบบสากลที่หลายหน่วยงานนำไปประยุกต์ใช้ จึงสมควรนำระเบียบการนำหน่วยมาประยุกต์ใช้ในภารกิจการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง ให้เหมาะสมกับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ภารกิจ (Mission=M) ภัยคุกคาม ความเสี่ยงหรือภยันตรายจากการชุมนุมเรียกร้อง (Enemies &Threat=E) การยอมรับได้ของสังคมภายใต้กรอบกฎหมาย (Civil Consideration=C) กำลังพลและอุปกรณ์(Troops=T) เวลาที่เหลือก่อนเริ่มภารกิจ (Time=T) สภาพพื้นที่และสังคมที่เอื้อหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการทำภารกิจนี้โดยตำรวจ (Terrain=T)<br />ตามสมการความสำเร็จของภารกิจขึ้นกับปัจจัยดังนี้ M=E-C(T+T+T) ซึ่งจะเห็นได้จากสมการนี้ว่า การยอมรับได้ของสังคมภายใต้กรอบของกฎหมาย จะเป็นตัวกำหนดที่สำคัญในความสำเร็จของภารกิจ หากการปฏิบัติของตำรวจในการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะใช้กำลัง อุปกรณ์มากเท่าใด เวลา หรือสถานที่เกื้อกูลให้ภารกิจสำเร็จได้ง่ายเท่าใด ก็จะไม่ทำให้ภารกิจสำเร็จ หรือเป็นบวกได้ ในทางตรงกันข้าม อาจเป็นการขยายโอกาส หรือเป็นการส่งเสริมความชอบธรรมหรือความสำเร็จของการก่อความไม่สงบโดยกลุ่มผู้ชุมนุมที่อาจมีบางกลุ่มมีเจตนาพิเศษให้เกิดความรุนแรง ความไม่สงบในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ก่อนแล้วก็ได้<br /> <br />ขั้นตอนการปฏิบัติของผู้บังคับหน่วยการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องตามหลักการระเบียบการนำหน่วย<br /><br />ขั้นที่ ๑ รับภารกิจ<br /> เมื่อได้รับภารกิจหรือคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาแล้ว หัวหน้าหน่วยกำลังจะเริ่มต้นเตรียมการดังนี้ <br /> ๑.๑ วิเคราะห์ภารกิจ หากิจเฉพาะและกิจแฝง แล้วสรุปเป็นภารกิจที่หน่วยต้องปฏิบัติ โดยคำนึงถึงปัจจัยความสำเร็จของภารกิจการจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้อง (M=E-C(T+T+T))<br /> ๑.๒ วางแผนการใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนเคลื่อนย้ายหน่วย หรือเริ่มปฏิบัติภารกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยหลักการแล้วหัวหน้าหน่วยจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ประมาณ ๑ ส่วน ส่วนอีก๒ ส่วนที่เหลือ จะเหลือให้กำลังพลไปเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประจำตัว ยา<br /> ๑.๓ รวบรวมข่าวสารและประสานงานกับหน่วยเหนือ, หน่วยรอง, หน่วยข้างเคียง และหน่วยสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวสารจากศูนย์ปฏิบัติการหลักที่รับผิดชอบจัดการเหตุชุมนุมเรียกร้องนี้<br /><br />ขั้นที่ ๒ ออกคำสั่งเตือน เพื่อให้หน่วยรองและกำลังพลที่จะไปปฏิบัติภารกิจ ได้เตรียมการตั้งแต่ต้น สาระคือ<br /> ๑. สถานการณ์โดยสรุป<br /> ๒. ภารกิจ<br /> ๓. เวลาที่จะต้องปฏิบัติภารกิจ (ถ้ามีห้วงเวลานาน จะต้องเตรียมเสื้อผ้าไปด้วย)<br /> ๔. คำแนะนำพิเศษอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งกำลังบำรุง หรือการขนส่ง สถานที่พัก อาหาร น้ำดื่ม อุปกรณ์อะไรที่ต้องเตรียมไปบ้าง อุปกรณ์จะจ่ายที่ใด เวลาใด<br /> ๕. เวลาและสถานที่ที่จะให้คำสั่งหรือมารวมพลขั้นต้น(จุดรวมพลขั้นต้น)<br />ขั้นที่ ๓ วางแผนขั้นต้น<br /> ๑. ประมาณสถานการณ์ขั้นต่อไป โดยอาศัยปัจจัย M=E-C(T+T+T)<br /> ๒. ศึกษาและวิเคราะห์สถานที่จัดการชุมนุมจากแผนที่ พร้อมทั้งกำหนดหนทางการปฏิบัติในขั้นต้นว่าหน่วยจะไปทำภารกิจอะไร และมีโอกาสที่จะพบกับเหตุอะไรบ้าง (คล้ายกับการวาดภาพการรบ)<br /> ๓. พบปะฝ่ายอำนวยการเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร<br /> ๔. ให้แนวทางการวางแผน กับเจ้าหน้าที่ บก.ร้อยควบคุมฝูงชน เกี่ยวกับ<br /> ๔.๑ กล่าวย้ำภารกิจ (บ่งถึงกิจเฉพาะที่จะต้องทำให้สำเร็จ)<br /> ๔.๒ ข้อพิจารณาทางยุทธวิธี (กฎการใช้กำลัง ระดับการใช้กำลังตามข่าวที่ผู้ชุมนุมจะก่อเหตุ แบบของการดำเนินการปฏิบัติ เช่นไปตั้งจุดสกัด ไปรักษาความปลอดภัยสถานีไฟฟ้า หรือเข้าไปเป็นแนวเจรจาขั้นสุดท้ายไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมผ่าน หรือไปสลายการชุมนุม ขั้นตอนการปฏิบัติ ฯลฯ)<br /> ๔.๓ ข้อพิจารณาเกี่ยวกับหนทางปฏิบัติโดยทั่วไป หลักกฎหมายที่รองรับ การประชาสัมพันธ์ หรือการรักษาภาพลักษณ์ของหน่วย<br /> ๔.๔ ปัญหาของสถานการณ์ (ข้อจำกัด, การกำหนดวิธีปฏิบัติ, หัวข้อข่าวสารสำคัญ(หขส), การปฏิบัติ, ขั้นตอนการปฏิบัติ การจัดการวิเคราะห์ความเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรงในการชุมนุม (ความเสี่ยง =ผลกระทบ X ภัยคุกคาม X จุดอ่อน หรือ Risk(R)=Impact(I) X Threat(T) X Vulnerability(V)<br /><br />ขั้นที่ ๔ เริ่มการเคลื่อนย้ายที่จำเป็น<br /> เริ่มต้นเคลื่อนย้ายหน่วยที่จำเป็นไปข้างหน้า หรือเข้าที่รวมพล เพื่อเตรียมการปฏิบัติการเช่นกำลังพลในกองร้อยควบคุมฝูงชนอยู่หมู่ละ ๑ สภ. ซึ่ง สภ.ที่ไกลสุดห่างจากที่รวมพลขั้นต้น ที่ ภ.จว.เป็นระยะทางกว่า ๑๐๐ กม.และกำลังพลส่วนใหญ่เข้าเวรสายตรวจรถจักรยานยนต์อยู่ขณะนี้ ดังนี้ ควรต้องให้เวลา โดยการออกคำสั่งเตือน แจ้งเวลารวมพล การตรวจความพร้อม ตั้งแต่เริ่มรับคำสั่งให้เร็วที่สุด<br /><br />ขั้นที่ ๕ การลาดตระเวนตรวจภูมิประเทศ<br /> ลาดตระเวนตรวจภูมิประเทศอย่างละเอียดถ้ามีเวลา ถ้าไม่มีเวลาพอก็จะต้องไปดู สำรวจภูมิประเทศจริง หรือไม่เป็นการยั่วยุ หรือเป็นอันตรายระหว่างการตรวจภูมิประเทศ เพื่อปรับแผนให้เหมาะสม และควรไปตรวจภูมิประเทศในเวลาที่ต้องปฏิบัติการจริง เช่น เวลากลางคืน สภาพการจราจร และแสงไฟอาจแตกต่างจากวันทำงาน และในเวลากลางวัน โดยควรนำผู้บังคับหมู่ ผู้บังคับหมวด ไปตรวจพื้นที่ด้วย<br /><br />ขั้นที่ ๖ ทำแผนให้สมบูรณ์ อนุมัติแผน<br /> ๑. รับข้อเสนอแนะจากฝ่ายอำนวยการ หรือจาก ศูนย์ปฏิบัติการ และนำค่าวิเคราะห์ความเสี่ยง มาทำประมาณสถานการณ์ (พิจารณาปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูงก่อน )<br /> ๒. ประมาณสถานการณ์ (ใช้สมการ M=E-C(T+T+T) ) โดยยึดกรอบกฎหมาย และการยอมรับได้ของสังคมไทย และประชาคมโลกด้วย แล้วประกาศข้อตกลงใจและแนวความคิดในการปฏิบัติ<br /> ๓. กำกับดูแลและเตรียมการเกี่ยวกับ แผน/คำสั่ง<br /> ๔. นำแผนไปบรรยายให้ ผบ.เหตุการณ์ อนุมัติ หรือปรับแก้ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วให้ประสานแผน/คำสั่ง กับหน่วยเหนือ, หน่วยรอง, หน่วยข้างเคียง และหน่วยสนับสนุน<br /><br /><br /><br />ขั้นที่ ๗ การสั่งการ<br /> ๑.เรียกประชุม ผบ.หมู่ ผบ.มว ส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือกำลังทั้งหมด มีแผนที่ หรือภูมิประเทศจำลอง ของสถานที่ชุมนุม หรือพื้นที่ที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อใช้ประกอบการสั่งการ<br /> ๒.ในระดับกองร้อยควบคุมฝูงชน ควรสั่งการด้วยวาจาเท่านั้น และอาจแจกจ่ายคำสั่งปฏิบัติการเป็นส่วน ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรภายหลัง (ถ้ามี) หัวข้อคำสั่งปฏิบัติการเป็นส่วน ๆ คือ ๑. สถานการณ์ ๒.ภารกิจ ๓.การปฏิบัติแต่ละหน่วย กฎการใช้กำลัง ระดับการใช้กำลังตามข่าวที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะก่อเหตุ ๔.การส่งกำลังบำรุง การจ่ายอาหาร น้ำ การขนส่ง ๕.การสื่อสารและการบังคับบัญชา โดย อาจแจกจ่ายแยกกัน หรือแจกจ่ายที่เป็นลายลักษณ์อักษรเฉพาะหัวข้อที่จำเป็น คือข้อ ๓ การปฏิบัติของแต่ละหน่วย เท่านั้น แล้ว ให้ผู้บังคับหน่วยแต่ละหน่วย สรุปกลับว่า แต่ละหน่วย ต้องไปทำอะไร เพื่ออะไร ที่ไหน เมื่อใด อย่างไร (Brief-back)<br /><br />ขั้นที่ ๘ การกำกับดูแล<br /> ๑. สนับสนุนคำสั่งให้ได้ผล โดยกำกับดูแลแก้ไข การฝึกซ้อมของแต่ละหน่วย ตามระดับการใช้กำลังตามข่าวที่ผู้ชุมนุมจะก่อเหตุ การปฏิบัติของหน่วย ณ แนวเจรจาขั้นสุดท้าย หรือการปฏิบัติของหน่วย ณ ที่หมาย(สถานที่ชุมนุม) ตามภารกิจที่ได้รับมอบและสั่งการแล้ว โดยอาจซักซ้อมการวางกำลัง ขั้นตอนการปฏิบัติ เฉพาะตัวหัวหน้าหน่วย(ผบ.หมู่, ผบ.มว,ผบ.ร้อย)ก่อน (คือแบบการฝึกยุทธวิธีเฉพาะผู้บังคับบัญชาโดยไม่ใช้กำลังพล( Tactical Exercise Without Troops ย่อว่า TEWOT)) เพื่อประหยัดเวลา ป้องกันปัญหาการกล่าวหาจากกลุ่มผู้ชุมนุมว่าใช้กำลังมาข่มขู่ และลดปัญหาความสับสนวุ่นวายจากการใช้กำลังพลจำนวนมากมาฝึกซ้อม<br /> ๒. ให้ฝ่ายอำนวยการหรือเจ้าหน้าที่ บก.ร้อยควบคุมฝูงชน , ผบ.หน่วยรอง เช่น รองผบ.หมวด รองผบ.หมู่หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง กำกับดูแล เพื่อให้บังเกิดผลของการปฏิบัติในเรื่องการตรวจสิ่งอุปกรณ์ประจำตัว เช่น กระบอง โล่ เครื่องแต่งกายป้องกันตัว ตรวจอาวุธที่อาจเป็นอันตราย และฝึกซ้อมการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ และตรวจยอดกำลังพล สรุปข่าวหรือสถานการณ์ที่ได้รับล่าสุด<br /> ๓. ดำรงการติดต่อข่าวสารกับหน่วยเหนือ, หน่วยรอง, หน่วยข้างเคียง และหน่วยสนับสนุน ว่าเหตุหรือสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นไร เช่นกลุ่มผู้ชุมนุมอาจมีระเบิดปิงปอง ให้ระมัดระวัง หรือกลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธปืน ให้ผู้ปะทะแถวหน้าสวมเสื้อเกราะป้องกันกระสุนปืน<br /> ๔. ปรับปรุงและแก้ไขแผนให้เหมาะสมได้ตามต้องการ และผู้บังคับหน่วยมากล่าวย้ำ ภารกิจโดยพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ M=E-C(T+T+T) และซักซ้อมครั้งสุดท้าย เรื่อง ระดับการใช้กำลังตามข่าวที่ผู้ชุมนุมจะก่อเหตุ กฎการใช้กำลัง การสั่งเริ่มหรือ เลิกปฏิบัติ จุดนัดพบ หลังการจัดระเบียบใหม่ เมื่อการปฏิบัติ ณ ที่หมายเสร็จแล้ว หรือมีการแตกขบวน พลัดหลง การรักษาพยาบาล สัญญาบอกฝ่าย เป็นต้น <br /> ๕. ปฏิบัติภารกิจและบรรจุภารกิจอย่างสมบูรณ์ โดยการตรวจการปฏิบัติ ณ จุดรวมพลขั้นสุดท้าย และเมื่อจะเลิกภารกิจ หัวหน้าหน่วย ต้องมีการตรวจยอดกำลังพล ณ จุดนัดพบ ซึ่งอาจเป็นที่เดียวกับจุดรวมพล เพื่อสำรวจความเสียหาย ดูแลผู้บาดเจ็บ ส่งมอบพื้นที่หรือผู้ต้องหา ของกลาง ให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวน หรือศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า หรือส่งมอบภารกิจให้กับกองร้อยควบคุมฝูงชนที่มาสับเปลี่ยนภารกิจต่อไป<br /> ๖.การรายงานหลังการปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติภารกิจ เสร็จแล้ว กลับไปที่ที่ตั้งตามปกติแล้ว จะต้องรายงานผลการปฏิบัติ ที่เรียกว่า “รายงานหลังการปฏิบัติ” (After Action Report ย่อว่า AAR) โดยมีสาระสำคัญดังนี้<br /><br /> ๖.๑ ลำดับเหตุการณ์ตามระเบียบการนำหน่วยนี้ และผลการปฏิบัติของหน่วยตามเหตุการณ์โดยลำดับ<br /> ๖.๒ ข้อที่หน่วยปฏิบัติได้ผลดี หรือการที่หน่วยเหนือ หน่วยข้างเคียง หน่วยรอง หรือศูนย์ปฏิบัติการ ปฏิบัติการได้ผลดี หรือเป็นสิ่งดี ที่ควรจะต้องดำเนินการต่อไปในการปฏิบัติภารกิจภายภาคหน้า<br /> ๖.๓ ข้อขัดข้อง สิ่งที่ควรปรับปรุงพัฒนาของหน่วยตนเอง หน่วยเหนือ หน่วยรอง หน่วยข้างเคียงที่เกี่ยวข้อง<br /> ๖.๔ ข้อเสนอแนะทั่วไป และประเด็นปัญหาที่อาจเป็นผลต่อเนื่องจากการปฏิบัติภารกิจ<br /> ๑) การขึ้นศาล หรือการส่งมอบพยานหลักฐาน รูปภาพ ที่หน่วยไปปฏิบัติหน้าที่<br /> ๒)การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือ วิธีปฏิบัติงาน ระเบียบ คำสั่งและกฎหมาย<br /> ๓)ข้อแนะนำทางด้านการฝึกอบรม<br /> ๔) ข้อแนะนำด้านขวัญและกำลังใจ และการส่งกำลังบำรุง เบี้ยเลี้ยง<br />-----------------------------------Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-53324690941485364892009-05-16T07:54:00.000-07:002009-05-21T18:32:12.042-07:00การสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์:ตำรวจไทยตัองนำมาใช้A-1<br />APPENDIX A<br />PRINCIPLES OF STRATEGIC COMMUNICATION<br />1. Caveat<br />a. The nine “Principles of Strategic Communication” listed in Figure A-1 are included<br />in the Principles of Strategic Communication Guide, signed by the Principle Deputy<br />Assistant Secretary of Defense for Public Affairs 15 August 2008, Figure A-2.<br />b. These principles are provided in this handbook to assist dialogue and instruction,<br />promoting understanding of Strategic Communication. They are not listed in order of<br />precedence.<br />2. Discussion<br />a. Leadership-Driven—Leaders must decisively engage and drive the strategic<br />communication process. To ensure integration of communication efforts, leaders should<br />place communication at the core of everything they do. Successful Strategic<br />Communication – integrating actions, words, and images – begins with clear leadership<br />intent and guidance. Desired objectives and outcomes are then closely tied to major lines<br />of operation outlined in the organization, command or joint campaign plan. The results<br />are actions and words linked to the plan. Leaders also need to properly resource strategic<br />communication at a priority comparable to other important areas such as logistics and<br />intelligence.<br />Definition of a principle: A fundamental tenet; a determining characteristic; an<br />essential quality; an enduring attribute.<br />DOD Memorandum Principles of Strategic Communication Guide<br />15 August 2008<br />Figure A-1. Principles of Stragetic Communication<br />PRINCIPLES OF STRATEGIC COMMUNICATION<br />Credible Understanding<br />Dialogue Pervasive<br />Unity of Effort Results-Based<br />Responsive Continuous<br />Perception of truthfulness and respect Deep comprehension of others<br />Multi-faceted exchange of Ideas Every action sends a message<br />Integrated and coordinated Tied to desired end state<br />Right audience, message, time, and place Analysis, planning, execution, assessment<br />Leadership-Driven<br />Leaders must lead communication process<br /><br />-------------------<br /><a href="http://www.carlisle.army.mil/DIME/documents/Principles%20of%20SC%20(22%20Aug%2008)%20Signed%20versn.pdf"><strong><span style="font-size:130%;color:#3333ff;">read more / อ่านเพิ่มเติมจากต้นฉบับ</span></strong></a>Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-69270861319607398572009-05-13T04:30:00.000-07:002009-05-13T04:33:06.584-07:00ข้อเสนอการพัฒนาการควบคุมฝุงของตำรวจไทยบันทึกข้อความ<br />ส่วนราชการ ฝอ.2 บก.อก.ภ.7 โทร. 0 3424 3751 – 5 ต่อ 26<br />ที่ 0023.12/ วันที่ 12 พฤษภาคม 2552<br />เรื่อง การตรวจสอบและวิจารณ์การฝึกควบคุมฝูงชนเพื่อ รปภ.การประชุม รมต.สาธารณสุขอาเซียน<br />------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />เรียน ผบช.น. (ผ่าน ผบก.ตปพ.)<br /><br /> 1. ต้นเรื่อง<br /> ตามสั่งการด้วยวาจาของ ผบช.น.ได้ประสาน ผบช.ภ.7 เมื่อ 4 พ.ค.2552 ให้กระผม พ.ต.อ.ณรงค์ ทรัพย์เย็น ผกก.ฝอ.2 บก.อก.ภ.7 ไปตรวจสอบวิจารณ์การฝึกและเสนอแนะการพัฒนาการฝึกการควบคุมฝูงชน ซึ่ง บช.น.ได้จัดฝึก กก.ปจ.บก.ตปพ.ร่วมกับกำลังของ บช.ตชด.,บก.ป.เพื่อเตรียมการ รปภ.การประชุม รมต.สาธารณสุขอาเซียน ที่ประชุม ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯใน 7-8 พ.ค.2552 และให้เสนอแนะการพัฒนาการฝึก การเตรียมกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนของ ตร.ในภาพรวมนั้น <br /> 2. ข้อเท็จจริง <br /> 2.1 กระผมได้ไปสังเกตการณ์ฝึกเมื่อวันที่ 5 พ.ค.2552 (วันฉัตรมงคล) ที่สโมสรตำรวจ บางเขน มี เวลา 09.00 น มี พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา และ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ รอง ผบช.น. เป็นประธาน กำลังที่มาฝึกประกอบด้วย ร้อย ปจ.จาก กก.2 (ปจ.) บก.ตปพ.จำนวน 3 กองร้อย ,ร้อย ปจ.(คอมมานโด) จาก บก.ป.จำนวน 2 กองร้อย , จาก กก.ตชด.11 จำนวน 1 กองร้อย และ จาก กก.ตชด.12 จำนวน 1 กองร้อย รวม 7 กองร้อย<br /> 2.2 เวลา 09.30-10.30 น. พ.ต.อ.ไพทูรย์ มณีอินทร์ ผกก.2 บก.ตปพ.(กก.ปจ.).ได้บรรยายและนำภาพวีดิโอเกี่ยวกับ ฝูงชนที่มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ในห้วงที่ผ่านมา และภาพการสาธิตการฝึกการใช้กำลัง กองร้อยควบคุมฝูงชน ซึ่งท่าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.ได้จัดสาธิตเมื่อ 28 เม.ย.2551 ณ สนามกีฬาบุณยะจินดา และเวลา 10.30-11.00 น. พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิติประภัสสร์ รอง ผบก.ตปพ.ได้บรรยายผลจากการไปสัมมนาร่วมกับ บก.กองทัพไทย เมื่อ 4 พ.ค.2552 เกี่ยวการควบคุมฝูงชนในช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อ 12 เม.ย.2552 และเวลา 11.00-12.00 น กระผมได้บรรยายเกี่ยวกับหลักการจัดการฝึก ตามคู่มือราชการสนามของกองทัพบกสหรัฐซึ่งจะเน้น ให้ฝึกเหมือนกับสภาพที่ต้องไปทำงานจริง FM 7-1 BATTLE FOCUSED TRAINING (ฝึกเหมือนกับที่ต้องรบจริง)) และกระผมเห็นว่ากำลังพลส่วนใหญ่มีขวัญและกำลังใจที่ต้องปรับปรุง จึงได้ขอให้เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ให้มาดูภาพยนตร์เรื่อง Rule Of Engagement (แปลว่ากฎการใช้กำลัง แต่ชื่อเรื่องภาษาไทย ใช้ว่า “คำสั่งฆ่าคนบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ ไปช่วยทูตออกมาจากวงล้อมของฝูงชนที่บ้าคลั่งล้อมสถานทูตอยู่ แต่ทำให้มีคนตายถึง 83 คน หัวหน้าชุดจึงต้องขึ้นศาลทหาร เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นการนำพยานหลักฐานการแก้ปัญหาฝูงชนมาสู่ศาล ถึงการใช้กำลังหรืออาวุธอย่างไร จึงไม่เกินกว่าเหตุ) เพื่อให้ตำรวจที่ดูมีความรู้สึกภาคภูมิใจกับ <br />/ภารกิจ....<br />- 2 -<br />ภารกิจที่ต้องมาปฏิบัติในครั้งนี้ (สรุปเนื้อเรื่องการบรรยายปรากฏตามเอกสารหมายเลข 1) <br /> 2.3 เวลา 13.00-17.00 น ได้มีการฝึกจำลองเหตุการณ์ให้กองร้อยควบคุมฝูงชนทั้ง 7 กองร้อยเข้าสลายฝูงชน โดยใช้แผนรักษาความสงบของ ตร.ปี 48 (แผนกรกฎ 48) เป็นแนวทางการปฏิบัติในการเข้าสลายฝูงชนที่สมมุติเหตุการณ์เข้ายึดพื้นที่ ทำเนียบรัฐบาลแล้วไม่ยอมออกจากพื้นที่ โดยใช้สนามหน้า กก.2 ปจ. เป็นสถานที่สมมุติว่าเป็นทำเนียบรัฐบาล ใช้รถฉีดน้ำ การใช้รูปขบวนระดับกองร้อยเข้าผลักดัน การใช้การจับกุมและการใช้กระสุนยาง และลูกระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าผลักดัน ผลการปฏิบัติส่วนใหญ่ กำลังของ กก.ตชด.11 และ กก.ตชด.12 จะไม่เข้าใจในการปฏิบัติในการควบคุมสั่งการของ ผบ.ร้อย ผบ.มว ปจ.ในการจัดรูปขบวนเข้าปฏิบัติ ณ ที่หมาย เนื่องจากเป็นการสนธิกำลังมาจาก กองร้อย ตชด.ในสนาม ทั้งตัวกำลังในกองร้อย ปจ. และตัวผู้บังคับบัญชา ไม่ได้มีการฝึกซ้อมมาก่อน (ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบการนำหน่วย)<br /> 2.4 วันรุ่งขึ้น (6 พ.ค.2552) กำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนที่ฝึกทั้ง 7 กองร้อย ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาการณ์ กลุ่ม นปช. ที่มายื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล และกลับมาฝึกซ้อมอีกครั้ง เมื่อเวลา 14.00 น. โดยมี พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต ผบก.ตปพ. เป็นผู้ควบคุมการฝึก , พ.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ฯ รอง ผบก.ตปพ.ร่วมฝึกโดยทำหน้าที่เป็น ผบ.เหตุการณ์, พ.ต.อ.ไพทูรย์ฯ เป็นผู้ให้ปัญหาฝึก เป็นการฝึกจำลองเหตุการณ์ในการเข้าสลายการชุมนุม เหมือนที่ผ่านมา โดยได้ปรับปรุงการฝึกใหม่ มีการ นำระบบการแสวงข้อตกลงใจทางทหาร มาใช้ โดยจัดการประชุมเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการสลายการชุมนุม มอบภารกิจให้แก่ ผบ.ร้อย หรือผู้ควบคุมกำลังทั้ง 7 กองร้อย ให้บรรยายสรุปกลับ (Backbrief) ซักซ้อมความเข้าใจ โดยให้ ผบ.ร้อย ทั้งหมด ปฏิบัติตามหลักการ “ระเบียบการนำหน่วย” และได้กำหนดให้มีการซ้อมจำลองเหตุการณ์การปฏิบัติเข้าสลายการชุมนุม ณ ที่หมายจำลอง เฉพาะตัว ผบ.มว.และ ผบ.ร้อย เพื่อความสะดวกในการฝึก เป็นขั้นตอน (ฝึกผู้บังคับบัญชาเพื่อการวางกำลัง และการปฏิบัติก่อน เป็นการฝึกทางยุทธวิธีโดยไม่ใช้กำลังพลร่วมฝึก (Tactical Exercise Without Troops = TEWT) จำนวน 1 รอบก่อน เมื่อเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติตามแผนของ ผบ.เหตุการณ์แล้ว จึงได้มีการฝึกเคลื่อนกำลังเข้าสลายการชุมนุม โดยมีผู้ชุมนุมสมมุติเข้าปะทะกับกองร้อยควบคุมฝูงชน ประกอบการใช้รถฉีดน้ำ กระสุนยาง และแก๊สน้ำตา การจับกุมแกนนำ ซึ่งการฝึกเป็นไปตามขั้นตอนด้วยดี <br /> 2.5 ผบก.ตปพ.ได้สั่งให้ ผบ.ร้อย และผู้ควบคุมกำลังนำกำลังทั้งหมดไปปฏิบัติหน้าที่ รปภ.การประชุม รมต.สาธารณสุขอาเซียน ขึ้นการบังคับบัญชากับ ศปก.บช.น.(สน.) ที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ก่อนเวลา 23.00 น.ของวันที่ 6 พ.ค.2552 และกระผมได้รับคำสั่งจาก ผบช.น.ให้มาสังเกตการณ์ ของ ศปก.บช.น.สน. และการใช้กำลังควบคุมฝูงชนดังกล่าว โดย กำลังทั้งหมดได้รับมอบภารกิจให้ยืนเฝ้าจุดระวังป้องกันโรงแรมดุสิตธานี โดยกองร้อยควบคุมฝูงชนจาก กก.ตชด.11 ,12 กก.2 บก.ตปพ.รวม 5 กองร้อย วางกำลังด้านถนนพระราม 4 (ทิศเหนือด้านหน้าโรงแรม) และกำลัง จำนวน 2 กองร้อยจาก บก.ป.เฝ้าจุดระวังป้องกันด้านถนนสีลม (ทิศตะวันตกของโรงแรม) กำลังทั้งหมด ได้เลิกปฏิบัติเพราะเสร็จสิ้นการประชุม บุคคลสำคัญเดินทางกลับหมดเมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 8 พ.ค.2552 การปฏิบัติบรรลุภารกิจ เหตุการณ์ปกติ ไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด <br /> <br />/3. ข้อพิจารณา...<br />- 3 -<br /> 3. ข้อพิจารณา<br /> 3.1 กรอบในการให้ข้อเสนอแนะของกระผม จะใช้ฐานการตรวจสอบการฝึกในครั้งนี้ และการจัดกำลังเข้าทำงานในการควบคุมฝูงชนของ ตร.ในภาพรวม ทั้งในเขต บช.น.,ภ.1 (สนามบินสุวรรณภูมิ),และการชุมนุมของกลุ่มการเมืองและกลุ่มเรียกร้องต่าง ๆ ในประเทศไทยเช่นที่จังหวัดอุดรธานี หรือการปิดถนนของกลุ่มผู้ชุมนุมในสถานที่ต่าง ๆ โดยใช้กรอบการเสนอแนะ 3 กรอบดังนี้<br /> 3.1.1 ใช้กรอบการเสนอแนะการดำเนินการควบคุมฝูงชนในภาพรวมของ ตร.เนื่องจาก กำลังของ กองบัญชาการใด กองบัญชาการหนึ่งหรือการปฏิบัติของ บช.ใด บช.หนึ่งไม่ครอบคลุมการชุมนุมเรียกร้องได้หมด (เช่น ผู้ชุมนุมมาจากต่างจังหวัดเข้าไปชุมนุมใน กทม. ,แกนนำจาก กทม.ไปจัดชุมนุมที่ต่างจังหวัด เพราะเหตุผลของระบบการสื่อสารด้วยโทรศัพท์มือถือ และสื่อสารมวลชนที่ดีขึ้น)<br /> 3.1.2 .ใช้กรอบเสนอแนวคิดที่เป็น ระบบการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องที่เป็นหลักสากลที่อารยะประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องยอมรับ หรือออกกฎ หรือถือปฏิบัติ ตามที่ศาลปกครองกลาง ได้กำหนดไว้ในคำสั่งศาล ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อ 7 ต.ค.52 มากกว่าที่จะนำเสนอหรือชี้ข้อบกพร่องและแนวทางแก้ไขเป็นรายละเอียดการปฏิบัติ แต่จะนำเสนอ เป็นลักษณะของ ระบบการแก้ไขเหตุการณ์ เครื่องมือ หรือระบบการบริหารเหตุ หรือองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะสามารถนำไปปรับใช้แก้ไขได้เป็นระบบ ยั่งยืน และเป็นหลักสากลได้มากกว่า การเสนอแนะแก้ไขเป็นส่วน ๆ <br /> 3.1.3 มุ่งเน้นเสนอแนะ ที่สามารถแก้ไข หรือเป็นไปได้ ทั้งในมิติของงบประมาณ กฎหมาย ระเบียบ ในระยะเวลาอันใกล้ก่อน <br /> 3.2 ข้อเสนอแนะการปรับปรุงระบบการควบคุมฝูงชนในประเทศไทย<br /> 3.2.1 การปรับปรุงองค์ความรู้การควบคุมฝูงชน เนื่องจากคู่มือการปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนของกรมตำรวจ ฉบับประกาศใช้ เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2536 ได้ใช้มาเป็นเวลานานและหลักการพื้นฐาน กลยุทธ์ น่าจะเหมาะสำหรับการควบคุมฝูงชนที่เกิดจากฝูงชนที่ไม่ได้มีการจัดตั้ง หรือมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างในปัจจุบัน ประกอบกับแกนนำฝูงชนในปัจจุบัน มักเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหรือผ่านงานด้านสงครามกองโจรรบพิเศษหรือสงครามการเมือง รูปแบบของฝูงชนจึงมีความซับซ้อน และมีการวงแผนอย่างแยบยลทั้งระดับยุทธวิธีและระดับยุทธศาสตร์ แต่คู่มือการปฏิบัติควบคุมฝูงชนที่ ตร. ใช้ฉบับลงวันที่ 20 ส.ค.2536 เป็นคู่มือการปฏิบัติระดับยุทธวิธีเท่านั้น จึงเห็นควรใช้คู่มือราชการสนามของกองทัพบกสหรัฐ เรื่อง การควบคุมฝูงชน (F.M.3-19.15 CIVIL DISTURBANCE OPERATIONS) ฉบับเดือนเมษายน 2005 (เอกสารประกอบหมายเลข 2) ซึ่งเขียนขึ้นจากพื้นฐานการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาสันติภาพ ซึ่งการก่อความไม่สงบจากฝูงชนมักเกิดจากพื้นฐานทางการเมืองแบบเดียวกันที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน<br /> 3.2.1.1 สิ่งที่ ผบช.น. ห่วงใยและยกเป็นประเด็นในการประชุมทางจอภาพของกองอำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน ของ ตร. ที่ผ่านมา กรณีการใช้กระบองของชุดควบคุมฝูงชน คู่มือตาม F.M. 3-19.15 หน้า 4-5 ได้เปลี่ยนหลักการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ที่ไม่ตีหรือกระแทกจุดตายจาก<br /><br />/ที่กำหนด...<br />- 4 -<br />ที่กำหนดไว้ในคู่มือการปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนของกรมตำรวจ ฉบับวันที่ 20 ส.ค.2536 หน้า 162 (เอกสารประกอบหมายเลข 3) <br /> 3.2.1.2 กลยุทธ์ใน F.M. 3-19.15 จะใช้ฐานความคิดจากระบบ “การแสวงข้อตกลงใจทางทหาร” โดยใช้ฐานการข่าวเป็นหลัก เมื่อข่าวเปลี่ยนไปการประมาณการหรือการประมาณสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป ทำให้การใช้กลยุทธ์หรือวิธีการแก้ไขปัญหากลุ่มผู้ชุมนุม (ที่ต้องพิจารณาปัจจัย METT – TC = ภารกิจ ภัยคุกคาม สภาพพื้นที่ สังคม กำลังฝ่ายเรา เวลา และการยอมรับได้ของสังคม) ใช้ให้เหมาะสมกับปัจจัยดังกล่าว กว้างขวางกว่าที่แผนรักษาความสงบ (กรกฎ 48) หรือที่คู่มือการปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนของ ตร. เมื่อปี 2536 กำหนดไว้ เช่น การใช้เรื่องการข่าว กลยุทธ์การป้องกันการรวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่ต้น การรักษาความปลอดภัยของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ดาวกระจายไปแต่ละจุด การใช้ชุดตรวจการณ์คุ้มกันจากที่สูง (DM = Designated marksman) การใช้ชุดจับกุมขนาดใหญ่ (Mass Arrest) เป็นต้น<br /> 3.2.1.3 การต้องยึดถือหลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือหลักการสากลในการควบคุมฝูงชน โดยที่ผ่านมาคู่มือการปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนของ ตร. ฉบับปี 2536 มิได้พูดถึงความชอบธรรมหรือแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ในการควบคุมฝูงชน สหประชาชาติได้ออกปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักการพื้นฐานการใช้กำลังและอาวุธของผู้รักษากฎหมาย ฉบับข้อมติที่ 45/121 ลง 18 ธ.ค.1990 (Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials) ได้กำหนดหลักการสากลเกี่ยวกับการใช้กำลังควบคุมฝูงชน จะต้องใช้จากเบาไปหาหนัก สมส่วน และต้องมีการทดสอบมาตรฐานการใช้กำลังหรือต้องให้ผู้ที่รักษากฎหมายใช้กำลังหรืออาวุธ ต้องมีการฝึก (เอกสารประกอบหมายเลข 4 ข้อที่ 12,13,14,19 และ 20) จึงทำให้หน่วยงานตำรวจทั่วโลกหรือผู้ที่ทำหน้าที่รักษากฎหมายประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมฝูงชน จะต้องถือหลักสำคัญของการใช้กำลังให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว เช่น กองทัพไทย ได้ประกาศกฎการใช้กำลังในการปราบปรามจลาจล ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะที่ 19/50 ลง 7 มี.ค.2550) (เอกสารประกอบหมายเลข 5) และหน่วยตำรวจในต่างประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา จะมีคณะกรรมการที่กำหนดมาตรฐานการใช้กำลังของตำรวจในด้านต่าง ๆ รวมถึงกำหนดมาตรฐานหรือแนวทางในการควบคุมฝูงชน เช่น คณะกรรมการมาตรฐานการฝึกอบรมของผู้รักษาความสงบ (Commission on Peace Officer Standard and Training = POST) ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ใช้อำนาจตามกฎหมายอาญา มาตราที่ 13514.5 ออกแนวทางให้หน่วยตำรวจในมลรัฐแคลิฟอร์เนียถือปฏิบัติในการควบคุมฝูงชน (เอกสารประกอบหมายเลข 6) แต่ตำรวจไทยไม่เข้าใจในเรื่องกฎการใช้กำลังนี้ โดยผู้ปฏิบัติไม่รู้และไม่เข้าใจและไม่มีการฝึก เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ที่หน้ารัฐสภา ภาระความรับผิดชอบ โดยเฉพาะทางกฎหมายจึงตกหนักกับ ผบ.เหตุการณ์ และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. <br /> 3.2.2 การปรับปรุงระบบวิธีการจัดการฝึก<br /> 3.2.2.1 การฝึกควบคุมฝูงชนของ ตร.ที่ผ่านมา มักใช้ระบบการฝึกที่ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบัน เช่น เน้นเฉพาะการฝึกกำลังพลที่อยู่ประจำในกองร้อยควบคุมฝูงชนเท่านั้น ให้มีความพร้อมในการใช้โล่กระบองและรูปขบวน โดยส่วนมากละเลยการฝึกระดับผู้บังคับบัญชา คือ ผบ.<br />/หมวด ผบ.ร้อย...<br />- 5 -<br />หมวด ผบ.ร้อย ควบคุมฝูงชน เกี่ยวกับระเบียบการนำหน่วย การแสวงข้อตกลงใจทางทหาร ระบบการบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System) และส่วนใหญ่การฝึกอบรมของตำรวจไทยจะเน้นแค่ “การมีความรู้” เป็นเหตุให้ไม่มีการฝึกทักษะการนำหน่วย หรือการใช้สถานการณ์ด้านการข่าวมาเป็นตัวชี้นำในการกำหนดกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาการควบคุมฝูงชน ส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดว่าแผนรักษาความสงบ (กรกฎ 48) จะเป็นเครื่องมือหรือสูตรสำเร็จ ในการแก้ไขปัญหาฝูงชน โดยละเลยหรือไม่มีความรู้ความเข้าใจหรือทักษะในการใช้ระบบการบัญชาการเหตุการณ์ หรือระบบแสวงข้อตกลงใจทางทหาร ซึ่งก็จะทำให้ส่งผลย้อนกลับไปถึงการจัดการฝึกที่ไม่ตรงกับที่ต้องไปทำงานจริง เพราะผู้บังคับหน่วยและฝ่ายอำนวยการไม่ได้มีความคิดหรือความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการบัญชาการเหตุการณ์หรือการแสวงหาข้อตกลงใจทางทหาร จึงเห็นควรมีการฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติตามแนวความคิดในคู่มือราชการสนามของกองทัพบกสหรัฐที่ว่าฝึกให้เหมือนกับที่ต้องไปทำงานจริง F.M.7-1 (Battle Focused Training) <br /> 3.2.2.2 พัฒนาระบบฝ่ายอำนวยการและศูนย์ปฏิบัติการ <br /> ตามหลักนิยมของการฝึกการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ จะต้องให้ฝ่ายอำนวยการมาร่วมฝึกด้วย 2 ระดับ เช่น การฝึกซ้อมในครั้งนี้ เป็นการฝึกเพื่อเตรียมกำลังควบคุมฝูงชนใช้ในภารกิจการจัดการชุมนุมเรียกร้องในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยในคู่มือการจัดการและวางแผนรักษาความสงบ สำหรับจัดงานสำคัญ : แนวทางสำหรับผู้รักษากฎหมาย (Planning for and Managing Demonstrations) ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (เอกสารประกอบหมายเลข 7) ได้เสนอแนะหลักการว่าต้องมีการฝึกเรื่องการข่าว เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาผู้ชุมนุมที่จะมารบกวนการจัดงานด้วย ในการฝึกครั้งนี้หากไม่มี ศปก.บช.น. และ ศปก.ตร. ที่ช่วยสนับสนุนด้านการข่าว กลุ่มผู้ชุมนุมที่จะมารบกวนการประชุม หรือที่อาจกระทบต่อการประชุม เช่น กลุ่มผู้ค้าที่ถูกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์จับกุมเรื่องลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค้าที่ย่านพัฒพงษ์ก่อนการประชุม เนื่องจากกองร้อยควบคุมฝูงชนที่รับการฝึก 7 กองร้อยดังกล่าว ไม่มีขีดความสามารถและเจ้าหน้าที่ที่จะปฏิบัติงานด้านการข่าว ทั้งในและนอกเขต บช.น. ศปก.น. ควรทำหน้าที่ ที่บังคับการ (หลัก) ที่สนับสนุนด้านการข่าว การส่งกำลังบำรุง ส่วน ศปก.ตร. ควรทำหน้าที่ ศปก.หรือ ที่บังคับการหลัง ที่สนับสนุนข้อมูลการข่าวนอก บช.น. และสนับสนุนข้อมูลด้านกฎหมาย (กฎการใช้กำลังหรือกฎการปะทะ) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกปฏิบัติหรือการทำงานที่ต้องปะทะกับฝูงชน นอกจากนี้ ศปก.ตร. ควรสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตำรวจและให้ง่ายต่อการรักษาความสงบ<br /> 3.2.3 การพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ <br /> 3.2.3.1 ควรพัฒนาเรื่องการสื่อสารของทีมควบคุมฝูงชน ให้มีระบบปากพูดหูฟังติดที่หมวก โดยเฉพาะระดับ ผบ.หมู่ ผบ.หมวด ผบ.ร้อย เพื่อการสั่งการและพัฒนาข้อมูลด้านการข่าวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่จุดรวมพลไปจนถึงการปฏิบัติ ณ พื้นที่เป้าหมาย <br /> 3.2.3.2 ควรให้มีหมายเลขหมวก เพื่อป้องกันความไม่มีตัวตนที่ตำรวจจะไปทำร้ายประชาชน และไม่ทราบว่าตำรวจผู้ใดทำร้าย (ผลจากการสรุปบทเรียนในการควบคุมฝูงชน การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ที่เมืองซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือน พ.ย.1999 และกรณีที่ตำรวจอังกฤษ ถูกกล่าวหาว่าผลักชายอายุ 40 กว่าปี ที่เดินผ่านมา ในขณะควบคุมฝูงชน และเสียชีวิตในเวลา<br />/ต่อมา...<br />- 6 -<br />ต่อมา ในการประชุม G20 เมื่อ 1 เม.ย.2552) ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ไปผลักหรือไปทำร้ายประชาชนไม่มีชื่อหรือหมายเลขประจำตัว ให้ผู้อื่นมองเห็นได้ ภาระทางกฎหมายจึงตกอยู่กับผู้บังคับบัญชา หรือผู้บัญชาการเหตุการณ์<br /> 3.2.3.3 ควรพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ตามความต้องการขององค์ความรู้ด้านการควบคุมฝูงชนที่ต้องให้ฝ่ายอำนวยการ มีการติดตามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา และอำนวยความสะดวกแก่กำลังพลเมื่อต้องเคลื่อนย้าย เช่น การจัดรถศูนย์ปฏิบัติการเคลื่อนที่ ที่มีเครื่องมือสื่อสาร และห้องน้ำห้องส้วมไว้บริการ จากการสอบถามกำลังพลที่มาฝึกในครั้งนี้ ได้ชี้แจงว่าหน่วยงานต่าง ๆ มักเดือดร้อนจากการที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมและตำรวจมาใช้สถานที่ร่วมกัน เช่น ห้องน้ำ <br /> 3.2.4 การพัฒนาระบบขวัญและกำลังใจ ขวัญและกำลังใจของข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมฝูงชนทุกส่วน อยู่ในภาวะที่ตั้งรับและมีความรู้สึกไม่ภาคภูมิใจในหน้าที่ ดังนั้น แม้ว่าจะพัฒนาเรื่องใด หรือจะทำการฝึกควบคุมฝูงชน โดยใช้ระบบหรือเครื่องมืออย่างไร เมื่อผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชามาอยู่ในตำแหน่งที่เกี่ยวกับการควบคุมฝูงชน หรือกำลังพล ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่มาทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน ไม่มีความเต็มใจ ภาคภูมิใจ หรือมีความสำนึกในหน้าที่ต่อชาติบ้านเมืองแล้ว ก็จะไม่สามารถพัฒนาได้ ภาระทั้งหมดจะตกอยู่กับผู้บังคับบัญชาเป็นส่วนใหญ่ จึงควรดำเนินการดังนี้ <br /> 3.2.4.1 ควรให้ ตร. กำหนดสมรรถนะประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะกลุ่มงานที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มพิเศษ เช่น สายป้องกันปราบปราม จราจร สืบสวน กำหนดไว้ในแบบประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการตำรวจ ท้ายหนังสือ ตร. ที่ 0004.51/ว 101 ลง 2 ส.ค.2550 โดยให้มีสมรรถนะในเชิงทักษะการควบคุมฝูงชนแต่ละระดับ เช่น ผบ.หมู่ ควรมีทักษะการใช้กระบอง โล่ ในการควบคุมฝูงชน และจัดรูปขบวนควบคุมฝูงชนได้ถูกต้อง ส่วนระดับ รอง สว. ขึ้นไป ให้กำหนดสมรรถนะในเชิงทักษะ ในการใช้ระเบียบการนำหน่วยในการควบคุมฝูงชน หรือวางแผนในการควบคุมฝูงชนได้ ตามแบบที่ใช้ทดสอบ หากไม่ผ่านการประเมินควรที่จะไม่ให้รับเงินเพิ่มพิเศษดังกล่าว หรือหากเคยปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน ในรอบปีได้ 10 ครั้งขึ้นไป อาจให้ถือว่าผ่านการประเมิน เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันระบบการรับเงินเสี่ยงภัยของตำรวจ มีลักษณะที่น่าจะมีข้อกำหนดที่ง่ายกว่าวิชาชีพอื่นที่รับเงินเพิ่มพิเศษ <br /> 3.2.4.2 ควรกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านประชาสัมพันธ์หรือหรือปฏิบัติการจิตวิทยาของตำรวจ นำหลักการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Communication) มาใช้ในการสร้างความชอบธรรมหรือส่งเสริมภาพลักษณ์การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการควบคุมฝูงชน ซึ่งเป็นการปฏิบัติการในเชิงรุก ด้านยุทธศาสตร์ เสริมจากการปฏิบัติการด้านข่าวสาร (Information Operations) ซึ่งเป็นการปฏิบัติในเชิงตั้งรับในปัจจุบัน<br /> 4. ข้อเสนอแนะ<br /> ปรากฏตามเอกสารหมายเลข 8 <br /><br /> พ.ต.อ.<br /> ( ณรงค์ ทรัพย์เย็น )<br /> ผกก.ฝอ.2 บก.อก.ภ.7 <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br />เอกสารประกอบหมายเลข 8<br />ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงระบบการควบคุมฝูงชนในประเทศไทย<br /><br />ลำดับ หัวข้อ ข้อควรปฏิบัติของ บช.น. ข้อควรปฏิบัติของ ตร. ข้อควรปฏิบัติ บช.ต่าง ๆ<br />1 การฝึกอบรม การปรับปรุงองค์ความรู้การควบคุมฝูงชน 1. นำหลักการในคู่มือราชการสนามของกองทัพบกสหรัฐ เรื่อง การควบคุมฝูงชน (F.M.3-19.15 CIVIL DISTURBANCE OPERATIONS, คู่มือ F.M.7-1 BATTLE FOCUSED TRAINING (ฝึกเหมือนกับที่ต้องรบจริง)) และคู่มือการจัดการและวางแผนรักษาความปลอดภัยสำหรับจัดงานสำคัญ : แนวทางสำหรับผู้รักษากฎหมาย (Planning for and Managing Demonstrations) ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยให้ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์จัดพิมพ์แปลและแจกจ่ายให้กับกำลังพล<br />2. ทำหนังสือขออนุญาตใช้คู่มือตามข้อ 1. เป็นแนวทางในการดำเนินงาน ในการควบคุมฝูงชนต่อสถานเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อป้องกันปัญหาด้านลิขสิทธิ์ และเพิ่มน้ำหนักในการใช้อ้างอิง เมื่อใช้เป็นข้ออ้างในศาลสำหรับตำรวจ หากเป็นคู่มือของ ตร. เอง เชื่อว่าน้ำหนักน่าเชื่อน่าจะน้อยกว่าของต่างประเทศที่มีความเป็น “สากล” มากกว่า <br />3. จัดการฝึกให้คล้ายกับที่ทำงานจริง โดย ศปก.น. ร่วมฝึกด้วยกับกองร้อย ปจ. คล้ายกับที่ปฏิบัติงานจริงในแต่ละหน้าที่ <br />4. ออกประกาศกฎการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชนให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และส่งให้องค์กรเอกชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน และสำนักตำรวจแห่งชาติและรัฐบาลได้ตรวจสอบเห็นชอบ และฝึกกำลังพลในการเผชิญเหตุตามแนวทาง 1. จัดทำคู่มือการควบคุมคุมฝูงชนของ ตร. ที่พัฒนาและทันสมัยและเหมาะสมกับประเทศไทย มากกว่าใช้ของต่างประเทศ<br />2. จัดระบบการฝึกอบรมการควบคุมฝูงชน 3 หลักสูตร <br /> 2.1 กำลังพลในกองร้อยควบคุมฝูงชนทั่วไป<br /> 2.2 ผู้ปฏิบัติงานอาวุธพิเศษในการควบคุมฝูงชน เช่น เครื่องยิงแก๊สน้ำตา ระเบิดขว้าง กระสุนยาง <br /> 2.3 ระบบบัญชาการเหตุวิกฤติการควบคุมฝูงชน (อบรม ผบ.หมวด ผบ.ร้อย ฝ่ายอำนวยการและผู้บังคับบัญชา) <br />3. กำหนดให้บันทึกการฝึกอบรมและการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมฝูงชนลงในสมุดประจำตัวสายตรวจตามระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 24 <br />บทที่ 22 นอกเหนือจากบันทึกใน กพ.7 1. บช.ศ. , รร.นรต. และ บช.ต่าง ๆ จัดการฝึกอบรมและบันทึกผลการฝึกอบรมลงในสมุดประจำตัวสายตรวจ เพื่ออนุมัติให้เป็นไปตามปฏิญญาสากลของสหประชาชาติว่าด้วยกลักการพื้นฐานของการใช้กำลังและอาวุธของผู้รักษากฎหมาย<br />2. จัดการฝึกกองร้อยควบคุมฝูงชนผู้บังคับบัญชาให้ครบทุกหลักสูตร และให้เหมือนปฏิบัติการจริง<br />3. ในการฝึกทุกระดับให้นำกฎการใช้กำลังของ ตร.ไปทำการฝึกด้วย โดยอาจออกแนวทางการปฏิบัติเฉพาะเหตุที่ต้องเผชิญแต่ละภารกิจ (Graduated Response matrix =GRM)<br />2 –<br />ลำดับ หัวข้อ ข้อควรปฏิบัติของ บช.น. ข้อควรปฏิบัติของ ตร. ข้อควรปฏิบัติ บช.ต่าง ๆ<br /> นี้โดยอาจออกแนวทางการปฏิบัติเฉพาะเหตุที่ต้องเผชิญแต่ละภารกิจ (Graduated Response Matrix =GRM) เช่น ถ้าประชาชนขว้างไข่ใส่ตำรวจ ตำรวจจะไม่ตอบโต้ แต่ถ้าทุบกระจกทางเข้าโรงแรมตำรวจจะจับกุม หรือใช้แก๊สน้ำตา เป็นต้น 4. ศปก.ตร., บช.ศ. และ รร.นรต. จัดการวิเคราะห์วิจัยและพัฒนาหลักนิยมในการฝึกสรุปบทเรียนทำเป็นตำราหลักนิยมคล้ายกับที่ปฏิบัติงานจริง <br />5. จัดทำระบบคู่มือการฝึกหรือคู่มือปฏิบัติงานให้มีระบบคล้ายคู่มือราชการสนามตามแบบของกองทัพบกไทย<br />6. จัดทำระบบสมรรถนะเฉพาะตำแหน่ง โดยเน้นการฝึกและสมรรถนะด้านการควบคุมฝูงชนให้มีชุดครูฝึกที่มีสมรถนะสูงสุด ทำการฝึกหลักสูตรกำลังพลในกองร้อยควบคุมฝูงชนทั่วไปได้<br />7. ออกกฎการใช้กำลังโดยขออนุมัติจากรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และฝึกกำลังพลทุกระดับตามแนวกฎการใช้กำลัง <br />2 ระบบการข่าว 1. นำระบบการฝึก การบัญชาการเหตุการณ์ และระบบการแสวงข้อตกลงใจทางทหารมาใช้ในการฝึกและการปฏิบัติงานจริง โดยฝ่ายการข่าวและเจ้าหน้าที่ใน ศปก.จะต้องทำหน้าที่ในส่วนของตนเพื่ออำนวยการให้การปฏิบัติหน้าที่ของกองร้อยควบคุมฝูงชนที่อยู่ในพื้นที่ได้มีข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยตลอดเวลา <br />2. ประเมินภัยคุกคามในเชิงเลวร้ายทีสุดในการรักษาความปลอดภัย 1. จัดระบบ ศปก.ตร.เป็น ทก.ส่วนหลัง ในการประสานงานด้านการข่าวนอกเขตพื้นที่ บช.ต่างๆ สนับสนุนการปฏิบัติของ บช.ที่เกิดเหตุวิกฤตหรือากรชุมนุม<br />2. กระจายข่าวกรองของ ศปก.ตร.ให้ทันเวลา บริการแก่หน่วยกำลังหรือ 1. จัดระบบ ศขส.สภ.มีฐานข้อมูลข่าวประจำตู้ยามสายตรวจตำบลเกี่ยวกับแกนนำทุกกลุ่ม<br />2. มีระบบเกาะติดแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของกลุ่ม<br /> <br />- 3 -<br />ลำดับ หัวข้อ ข้อควรปฏิบัติของ บช.น. ข้อควรปฏิบัติของ ตร. ข้อควรปฏิบัติ บช.ต่าง ๆ<br /> การจัดงานต่างๆ กองร้อย ปจ.ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่<br />3. ดำเนินมาตรการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Communition) เพื่อสร้างความชอบธรรม และประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้แก่หน่วยตำรวจ แกนนำในพื้นที่ของสายตรวจตำบล ตู้ยาม และอำนวยความสะดวกแกนนำที่จะเข้าไปชุมนุมตั้งแต่ต้นทาง<br />3 การพัฒนาขวัญและกำลังใจของกำลังพลทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน 1.ดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนมีความภาคภูมิใจในภารกิจที่ทำ ในยามที่ยังไม่มีเหตุ โดยไม่ต้องรอการปฏิบัติการข่าวสารเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่แล้ว หรือมีประเด็นที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุแล้ว<br />2.ใช้ระบบสมรรถนะเฉพาะตำแหน่งผู้รับเงินเสี่ยงภัยต้องผ่านการทดสอบสมรรถนะทุกปี แต่ผู้ที่ทำหน้าที่ร้อย ปจ.ควรกำหนดให้ผ่านการทดสอบทันทีเมื่อผ่านการฝึก ปจ. และทำหน้าที่ 10 ครั้งต่อปีขึ้นไป โดยบันทึกไว้ในสมุดประจำตัวสายตรวจ 1. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการประชาสัมพันธ์หรือปฏิบัติการจิตวิทยาของ ตร.ดำเนินการตามแผนประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ในการควบคุมฝูงชน<br />2. จัดทำระบบคะแนนเพิ่มในการเป็นแต้มต่อในการสอบเลื่อนฐานะเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร กรณีที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนหรือปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อันตราย ปฏิบัติแนวทางเดียวกับ บช.น.<br />4 การพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ 1.จัดทำระบบนโยบายการใช้อุปกรณ์ในการควบคุมฝูงชนต่างๆ หรือกฎการใช้กำลัง การใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น เครื่องยิงแก๊สน้าตา เครื่องช็อตไฟฟ้าเทเซอร์ (การฝึกครั้งนี้ชุดอาวุธพิเศษของ กก.2 ตปพ.มีเครื่องช็อตไฟฟ้าไปร่วมฝึกด้วย แต่ยังไม่ได้ใช้แสดงและยังไม่มีกฎการใช้ที่ผู้บังคับบัญชาอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร 1. จัดระบบให้โรงเรียนตำรวจ หรือ ศฝร.มีระบบการรับรองคู่มือและมาตรฐานของอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมฝูงชน เช่น กระสุนแก๊สน้ำตา กระสุนยาง เพื่อป้องกันการถูกกล่าวหาว่าใช้อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานยิงไปแล้วทำให้มีผู้เสียชีวิต <br />- 4 -<br />ลำดับ หัวข้อ ข้อควรปฏิบัติของ บช.น. ข้อควรปฏิบัติของ ตร. ข้อควรปฏิบัติ บช.ต่าง ๆ<br /> 2. ประสานกระทรวงยุติธรรม และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชบให้มีหน่วยงานในการทำหน้าที่รับรองความมีมาตรฐานของอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมฝูงชนมากกว่าที่จะออกมาวิจารณ์เมื่อมีเหตุสงสัยถึงอุปกรณ์ที่ใช้แล้ว 1. ตรวจสอบเครื่องมืออุปกรณ์การควบคุมฝูงชนให้ตรงตามมาตรฐานและจำหน่ายอุปกรณ์ที่หมดอายุแล้ว เช่น แก๊สน้ำตา<br /><br /><br /><br />ตรวจแล้วถูกต้อง<br /><br /> พ.ต.อ.<br />(ณรงค์ ทรัพย์เย็น)<br />ผกก.ฝอ.2 บก.อก.ภ.7Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-17465990788871079672009-05-11T04:05:00.000-07:002009-05-11T04:08:34.607-07:00คู่มือการเขียนแผนปฏิบัติราชการสถานีตำรวจคู่มือ<br />การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี<br /> ของสถานีตำรวจ<br /><br /><br /><br /><br /><br /> จัดทำโดย<br />พันตำรวจเอก ณรงค์ ทรัพย์เย็น<br />ฝ่ายอำนวยการ ๒ กองบังคับการอำนวยการ ตำรวจภูธรภาค ๗<br /><br /><br /><br />คำนำ<br /><br /> แผนปฏิบัติราชการของสถานีตำรวจนับว่าเป็นหัวใจในการบริหารงานที่สำคัญ ซึ่งใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการทุกด้านของสถานีตำรวจ อีกทั้งยังใช้เป็นแนวทางในการให้บริการประชาชนและใช้เป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจในการกำหนดทางเลือกในการบริหารของผู้บริหารสถานีตำรวจ<br /> จึงหวังว่าเอกสารคู่มือการจัดทำแผนปฏิบัติการของสถานีตำรวจเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหาร งานตำรวจและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมทั้งประชาชน<br /><br /><br /><br /> พันตำรวจเอก ณรงค์ ทรัพย์เย็น<br /> ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ ๒กองบังคับการอำนวยการ<br /> ตำรวจภูธรภาค ๗<br /> ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ วันมหาสงกรานต์เดือด<br /> โทร.๐๘๑-๙๘๑๑๘๘๖ email:sapyen.na@gmail.com<br /> Blog:sapyenna.blogspot.com<br /> <br /><br />สารบัญ<br /> หน้า<br /><br />หลักการและเหตุผล 1<br />ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดทำแผน 2<br />ส่วนประกอบของแผนปฏิบัติราชการ 2<br />กระบวนการบริหารตามแผนปฏิบัติราชการ <br />ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติราชการกับการดำเนินงาน 3<br />ขั้นตอนในการจัดทำแผน 3 <br />- การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงาน 4<br />- การสร้างกลยุทธ์หน่วยงาน 5<br />- การวิเคราะห์งบประมาณหน่วยงาน 6<br />- การจัดทำโครงการ/กิจกรรม 6<br />- หัวข้อการเขียนโครงการ 6 - 7<br />วิธีการจัดทำโครงการ 8<br />การดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรม 8<br />แบบสรุปรายงานผลการดำเนินโครงการ 9<br />ภาคผนวก<br /> ใบงานที่ 1 – 5 10 - 14<br /># สิ่งที่ต้องกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการ 15<br />บรรณานุกรม<br /><br /><br /><br /><br />หลักการและเหตุผล<br /> แผนปฏิบัติการ หรือ แผนปฏิบัติราชการ ตามคู่มือนี้ ให้ถือว่าเป็นชื่อเรียกอย่างเดียวกัน เนื่องจากตามตำราหรือเอกสารทางวิชาการทั่วไป จะเรียกแผนทางด้านการบริหารที่กำหนดรายละเอียดโครงการ เป้าหมาย การทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ นี้ว่า แผนปฏิบัติการ แต่ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พุทธศักราช 2546 มาตรา ๙กำหนดไว้ว่า <br /> “(๑) ก่อนจะดำเนินการตามภารกิจใด ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติราชการไว้เป็นการล่วงหน้า <br /> (๒) การกำหนดแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการตาม (๑) ต้องมีรายละเอียดของขั้นตอน ระยะเวลา และงบประมาณ ที่จะใช้ในการดำเนินงานของแต่ละขั้นตอน เป้าหมายของภารกิจ ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ และตัวชี้วัดผลสำเร็จของภารกิจ...” <br /> และในมาตรา 16 กำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติการ 2 ประเภท ดังนี้<br />1. แผนปฏิบัติการ 4 ปี โดยต้องสนองต่อนโยบายและกลยุทธ์ของรัฐบาลและหน่วยงานต้นสังกัด<br />2. แผนปฏิบัติราชการประจำปี (จัดทำตามปีงบประมาณ)โดยให้ระบุสาระสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติของส่วนราชการดังนี้<br />- เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน<br />- ประมาณการรายได้และรายจ่าย และทรัพยากรอื่นที่ต้องใช้<br />แผนปฏิบัติการของหน่วยงานประกอบด้วยรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับแผนดำเนินการ<br />1. ผลผลิตที่หน่วยงานกำหนด<br />2. เป้าหมายการให้บริการหน่วยงาน<br />3. ตัวชี้วัดผลผลิต (ด้านปริมาณ,ด้านคุณภาพ,ต้นทุนและระยะเวลา)<br />4. งบประมาณที่ใช้ <br /> ในการจัดทำงบประมาณและการบริหารงบประมาณตามนโยบายภาครัฐ กำหนดให้เป็นไปตามระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Performance Base Budgeting : SPBB) ดังนั้นหน่วยงานจะต้องจัดทำแผนการให้บริการ กำหนดเป็นผลผลิตและตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ในเชิงปริมาณ คุณภาพ เวลาและต้นทุน ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของแต่ละปี และใช้ในการจัดทำข้อตกลงการจัดทำผลผลิต (SDA) ระหว่างหน่วยงานหรือคำรับรองการปฏิบัติราชการต่อไป<br /> ดังนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค ตำรวจภูธรจังหวัด และหน่วยงานตำรวจทุกระดับ รวมทั้ง สถานีตำรวจ จะต้องจัดทำแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ โดยมีสาระของการให้บริการเดิมและสาระของการให้บริการใหม่ที่รัฐ หรือหน่วยงานต้นสังกัด เช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค หรือนโยบายของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับโดยตรง เพิ่มเติมนโยบายใหม่เข้ามา จัดทำเป็นงานหรือโครงการ โดยมีกิจกรรมแสดงเป็นรายละเอียดการทำงาน เพื่อกำหนดให้กิจกรรมเป็นตัวแทนของศูนย์ต้นทุน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ สำนักงบประมาณจะกำหนดให้นำค่าใช้จ่ายของศูนย์ต้นทุนดังกล่าวไปผ่านกระบวนการคำนวณต้นทุนกิจกรรมและต้นทุนผลผลิตต่อไป เพื่อนำไปใช้สำหรับวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการตามแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ และใช้ต้นทุนผลผลิตและต้นทุนกิจกรรมสำหรับประมาณการ การจัดทำงบประมาณของหน่วยงานต่อไป ตลอดจนใช้พัฒนาต้นทุนของสถานีตำรวจ และ ของทุกหน่วยงาน เพื่อความเพียงพอสำหรับการจัดทำผลผลิตที่มีบริบทที่แตกต่างกันไป<br /><br />ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ<br />1. เพื่อใช้เป็นกรอบ ทิศทาง และแนวทางในการพัฒนาหน่วยงาน<br />2. เพื่อใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการหน่วยงาน<br />3. ใช้เป็นกรอบบริหารจัดการงบประมาณของหน่วยงาน<br />4. เพื่อให้หน่วยงานมีกรอบในการวางแผนและตัดสินใจในการกำหนดทางเลือกในการบริหารงบประมาณ<br />5. เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีต่อไป<br />6. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น<br /><br />ส่วนประกอบของแผนปฏิบัติการ<br />1. ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เป็นข้อมูลพื้นฐานของสถานีตำรวจทั้งหมด<br />2. ส่วนที่ 2 ทิศทางการดำเนินงาน ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ เป้าหมายผลผลิต ตัวชี้วัด (ซึ่งควรต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัดที่ผู้บังคับบัญชาได้จัดทำขึ้นตามระบบคำรับรองปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ)<br />3. ส่วนที่ 3 สรุปโครงการ/งบประมาณ<br />4. ส่วนที่ 4 รายละเอียดโครงการตามกลยุทธ์<br />ภาคผนวก<br /><br /><br />กระบวนการบริหารงานตามแผนปฏิบัติการ<br />1. วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค(SWOT Analysis) หน่วยงานทั้งสภาพแวดล้อมภายนอกหน่วยงานและสภาพแวดล้อมภายในหน่วยงาน<br />2. กำหนดทิศทางของหน่วยงานเพื่อให้ได้วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br />3. กำหนดยุทธศาสตร์แต่ละด้าน ให้ออกมาเป็นแผนงาน(กลยุทธ์) โครงการ กิจกรรม งบประมาณ<br />4. ดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรมที่กำหนด (โดยผ่านความเห็นชอบของหัวหน้าหน่วยในที่นี้คือ ผู้กำกับการ หรือ สารวัตรใหญ่ สารวัตร แล้วแต่ระดับของสถานีตำรวจ)<br />5. การควบคุมการดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรมที่กำหนด<br />6. การติดตาม กำกับ ประเมินผล ทบทวน โครงการ/กิจกรรม เพื่อประเมินสภาพหน่วยงานหลังจากการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรมแล้ว<br />7. พัฒนา ปรับปรุงตามผลงานจากการติดตามประเมินผล<br /><br />ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติราชการกับการดำเนินงาน<br />1. การจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) หรือแผนปฏิบัติราชการ มีขั้นตอนดังนี้<br /> กำหนดผลลัพธ์ (Outcome or Goals) หน่วยงานต้องกำหนดผลลัพธ์ของหน่วยงานที่ต้องการ<br /> ผลผลิต (Outputs or Objective) หมายถึงผลผลิตที่หน่วยงานต้องการ กระบวนการ (Process) กำหนดกระบวนการที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลผลิตและผลลัพธ์ที่กำหนด<br /> ทรัพยากร (Inputs) หมายถึงทรัพยากรต่างๆที่หน่วยงานใช้ในการดำเนินตามกระบวนการที่กำหนด(เงิน คน วัสดุอุปกรณ์)<br />2. การดำเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้<br />ทรัพยากร กระบวนการ ผลผลิต ผลลัพธ์<br /><br /><br />การดำเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้<br />1. การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงานและสภาพแวดล้อม(โดยวิธี SWOT Analysis)<br />2. กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ โดยนำมาจากยุทธศาสตร์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ของตำรวจภูธรภาค ยุทธศาสตร์ของจังหวัด และยุทธศาสตร์ของตำรวจภูธรจังหวัด ปรับให้สอดคล้องกับกำหนดหน้าที่การงาน หรือภารกิจของหน่วยหรือสถานีตำรวจ<br />3. กำหนดเป้าหมาย โดยกำหนดเป็นตัวชี้วัด โดยนำมาจากตัวชี้วัดของ ตร.ตำรวจภุธรภาค ตำรวจภะรจังหวัดและจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี และของหน่วยเหนือ และปรับปรุงให้ให้เข้ากับสภาพของหน่วยงานหรือความเหมาะสม<br />4. กำหนดกลยุทธ์ หรือแผนงานให้สอดคล้องกับ เป้าหมาย หรือตัวชี้วัด<br />5. การเขียนรายละเอียดโครงการ/กิจกรรม/งบประมาณ ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และตัวชี้วัด<br />6. การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี เป็นการรวบรวมส่วนต่างๆเป็นแผนปฏิบัติการและการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรม (Implementation)<br />7. การควบคุม กำกับ ติดตามการปฏิบัติตามโครงการ/กิจกรรม<br />8. การประเมินผลและการรายงานผล<br /><br /><br />1. การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงาน เพื่อให้ทราบจุดอ่อนและจุดแข็งของหน่วยงานและวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนและการส่งเสริมปรับปรุงจุดแข็งของหน่วยงาน<br /> การฝึกปฏิบัติ <br />1. แบ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็น 5 กลุ่ม (5 งานของสถานีตำรวจ คือ งานอำนวยการ,ป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวน จราจร) ให้เวลาในการประชุม 50 นาที ให้อภิปรายในเรื่องจุดอ่อน และจุดแข็งของหน่วยงาน วิธีการแก้ปัญหาจุดอ่อนและวิธีการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็งของหน่วยงานตามตารางดังนี้ (สามารถหลอมรวมข้อความได้)<br /><br />จุดอ่อน วิธีการปรับปรุงจุดอ่อน จุดแข็ง การส่งเสริมพัฒนาจุดแข็ง<br /><br /><br /> <br /><br />2. นำผลจากการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง มากำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ (นำวิธีแก้ไขจุดอ่อนจุดแข็ง)<br />การกำหนดวิสัยทัศน์ เป็นการแสดงถึงความต้องการให้สถานีตำรวจเป็นรูปธรรมได้ในอนาคต โดยย้อนมองอดีต มองปัจจุบัน วาดฝันอนาคตและนำมากำหนดเป็นวิสัยทัศน์(ใบงานที่ 2)<br />วิสัยทัศน์สถานีตำรวจ.............................................................................................................................................<br />.........................................................................................................................................................................<br />การกำนดพันธกิจ เป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่หรือกิจกรรมที่จะทำให้สถานีตำรวจดำเนินไปกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดได้<br />พันธกิจ 1.......................................................................................................................................................<br /> 2........................................................................................................................................................<br /> 3.......................................................................................................................................................<br />การกำหนดเป้าประสงค์ เป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่หรือกิจกรรมที่จะทำให้สถานีตำรวจดำเนินไปกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้<br />เป้าประสงค์ 1............................................................................................................................................. 2.............................................................................................................................................<br /> 3..............................................................................................................................................<br /><br /><br />3. กลุ่มย่อยนำเสนอผลการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง วิธีการพัฒนาปรับปรุง การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ<br /> เป้าประสงค์ ต่อกลุ่มใหญ่ ช่วยกันปรับปรุงหลอมรวมข้อความให้สอดคล้องกันและสรุปวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br />วิสัยทัศน์สถานีตำรวจ.............................................................................................................................................<br />.........................................................................................................................................................................<br />พันธกิจ 1.......................................................................................................................................................<br /> 2........................................................................................................................................................<br /> 3.......................................................................................................................................................<br />เป้าประสงค์ 1............................................................................................................................................. 2.............................................................................................................................................<br /> 3..............................................................................................................................................<br /><br />2. การสร้างประเด็นยุทธศาสตร์ของ สถานีตำรวจ กำหนดตัวชี้วัดและแนวทางในการดำเนินการ<br />แบ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็น 5 กลุ่ม ( 5 งานของสถานีตำรวจ) ให้ศึกษาประเด็นยุทธศาสตร์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค ตำรวจภูธรจังหวัด ต้นสังกัด กำหนดตัวชี้วัดตามกลยุทธ์และแนวทางในการดำเนินการ (กลยุทธ์ ตัวชี้วัด และแนวทางการดำเนินงาน) ให้วิเคราะห์เฉพาะที่หน่วยงานสามารถปฏิบัติได้) แล้วนำมาเป็นกลยุทธ์ของหน่วยงาน กำหนดตัวชี้วัดของหน่วยงาน และแนวทางในการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของหน่วยงาน (ใบงานที่ 3)<br />กลยุทธ์ที่ 1 ......................................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br /> ตัวชี้วัด............................................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br /> แนวทางดำเนินงาน........................................................................................................................................<br />.....................................................................................................................................................................................<br />3. การวิเคราะห์งบประมาณของหน่วยงาน โดยคาดการณ์จากจำนวนข้าราชการตำรวจ และดูจากการจัดสรรงบประมาณจาก ตำรวจภูธรจังหวัดให้แก่สถานีตำรวจในปีที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์หรือแนวทาง (ตามใบงานที่ 4)<br /> 3.1 การวิเคราะห์งบประมาณสำหรับแผนปฏิบัติการระยะปานกลาง (3-5 ปี) เป็นการคาดถึงจำนวนงบประมาณที่จะได้รับในแต่ละปี โดยใช้จำนวนข้าราชการตำรวจเป็นตัวกำหนดแล้วนำมาคูณกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จะได้รับในแต่ละระดับชั้น โดยวิธีการดังนี้<br /> - คาดการณ์จากจำนวนข้าราชการตำรวจที่สถานีตำรวจได้คาดว่าจะได้รับจัดสรร หรือโยกย้ายมา<br />- คาดการณ์โดยคำนึงถึงปัจจัยภายใน ขีดความสามารถที่รับได้ จำนวนตำรวจ ขนาดหรือความเจริญของพื้นที่หรือภารกิจ เช่น มีการเปิดโรงงาน ศูนย์การค้า หรือศูนย์ราชการใหม่ในพื้นที่<br />- คาดการณ์โดยคำนึงถึงปัจจัยภายนอก ความนิยม จำนวนประชากรในชุมชน สภาพเศรษฐกิจ สภาพชุมชน<br />3.2 การวิเคราะห์งบประมาณสำหรับแผนปฏิบัติการประจำปี ให้ใช้จำนวนข้าราชการตำรวจในปีงบประมาณนั้นๆ(ช่วงตุลาคม) มาเป็นตัวกำหนด แล้วนำมาคูณกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จะได้รับ ก็จะทำให้ทราบถึงรายรับของสถานีตำรวจในปีงบประมาณนั้นๆ รวมถึงรายรับด้านอื่นที่สถานีตำรวจจะได้รับค่อนข้างแน่นอน เช่นเงินอุดหนุนสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจจะได้รับจัดสรรจาก ตร.โดยตรงเดือนละ20,000-50,000 บาท แล้วแต่ขนาดของสถานีตำรวจ หรือเงินงบประมาณ หรือน้ำมันเชื้อแพลิง ที่จะได้รับจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br /><br />4. การจัดทำโครงการ/กิจกรรม มี 2 แบบ<br /> 4.1 แบบประเพณีนิยม เป็นการเขียนโครงการตามความถนัดหรือความต้องการของบุคคล ผู้บริหารหรือสถานีตำรวจ เป็นหลัก โดยไม่มีการยึดกลยุทธ์ของแต่ละหน่วยงานต้นสังกัด<br /> 4.2 แบบเหตุผลสัมพันธ์ เป็นการเขียนโครงการที่ผสมผสาน ความต้องการของสถานีตำรวจและกลยุทธ์ของหน่วยงานต้นสังกัด โดยการนำกลยุทธ์ของต้นสังกัดมาปรับให้เข้ากับความต้องการของสถานีตำรวจ<br />หัวข้อการเขียนโครงการ ประกอบด้วย (ใบงานที่ 5)<br />1. ชื่อโครงการที่ต้องดำเนินการ ผู้รับผิดชอบ กลยุทธ์ที่ ลักษณะโครงการ งานที่รับผิดชอบ ผู้รับผิดชอบ<br />ระยะเวลาดำเนินการ<br />2. หลักการและเหตุผล ความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนั้นๆ ความเป็นมา<br />3. วัตถุประสงค์โครงการ แสดงให้เห็นถึงผลที่จะเกิดหลังจากทำโครงการนี้<br />4. เป้าหมายของโครงการ เป็นการกำหนดผลงานของโครงการ โดยให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด<br /> ด้านปริมาณ แสดงเป้าหมายเป็นจำนวน<br /> ด้านคุณภาพ แสดงถึงลักษณะเฉพาะอย่างของผลงาน<br />5. วิธีดำเนินการ แสดงถึงวิธีดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด จะแสดงถึงลำดับขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม (Activities plan)<br />6. งบประมาณ งบประมาณที่จะใช้ในโครงการและรายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละด้าน แต่ละรายการ แหล่ง<br />รายการงบประมาณ(กิจกรรม) งบประมาณทั้งสิ้น ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าครุภัณฑ์<br /><br /> <br />รวม <br /><br />7. การวัดและประเมินผล เป็นการประเมินผลสำเร็จของโครงการ โดยการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีการประเมิน เครื่องมือที่ใช้วัด<br /><br />ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัด/ประเมินผล เครื่องมือวัด ผู้ควบคุม<br /><br /><br /><br /> <br /><br />8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการคาดคะเนผลของโครงการ หลังจากดำเนินกิจกรรมแล้ว<br /> - ด้านปริมาณ<br /> - ด้านคุณภาพ<br />9. ผู้เสนอโครงการ - เช่น สว.ผู้รับผิดชอบงาน<br /> ผู้เห็นชอบโครงการ –เช่น รองผู้กำกับการหัวหน้างานสถานีตำรวจ <br /> ผู้อนุมัติโครงการ - ควรเป็น หัวหน้าสถานีตำรวจ ที่เป็นผู้อนุมัติโครงการ<br /><br /><br /><br /><br />\<br /><br /><br />วิธีการจัดทำโครงการ <br />1. นำแนวทางดำเนินงานจากขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์หน่วยงานมาบูรณาการเข้ากับวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนหรือการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็งของหน่วยงาน เพื่อให้เป็นโครงการ/กิจกรรม ตามความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาและสนับสนุนการจัดกิจกรรมของสถานีตำรวจ<br />2. นำแนวทางที่ได้หลังจากที่ได้บูรณาการแล้วมาเขียนโครงการตามรูปแบบที่กำหนด<br />3. นำเสนอโครงการเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติจากหัวหน้างานโดยผ่านหัวหน้าสายงานที่รับผิดชอบ<br />4. นำเสนอโครงการในที่ประชุมผู้บริหารสถานีตำรวจ เพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการ หรือพิจารณาปรับปรุงโครงการให้เหมาะสม หรือถ้าสถานีตำรวจใด หัวหน้าสถานีตำรวจใช้ระบบอนุมัติงบประมาณรวมศูนย์ที่ตัว หัวหน้าสถานีตำรวจตัดสินใจเพียงคนเดียว ก็ควรต้องให้ หัวหน้าสถานีตำรวจอนุมัติงบประมาณ หรือถ้าไม่มีงบประมาณ ก็ควรจะปรึกษาหัวหน้าสถานีตำรวจว่าจะหางบประมาณมาได้จากช่องทางใด เช่น ขอสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br />5. พิจารณาโครงการตามความจำเป็นและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของหน่วยงาน พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการตามความเหมาะสมภายใต้กรอบวงเงินที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้าแล้ว<br />6. เสนอโครงการที่ได้รับพิจารณาให้ผู้มีอำนาจเห็นชอบโครงการและอนุมัติโครงการ และเรียงลำดับความสำคัญของโครงการ (ในกรณีที่โครงการนั้น ต้องใช้เงินงบประมาณจากส่วนอื่น นอกเหนือจากของสถานีตำรวจ ก็ควรให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานที่จัดสรรเงินเป็นผู้อนุมัติโครงการ หรือให้เป็นเจ้าของโครงการ เพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบงานงบประมาณ และหรือระเบียบการพัสดุ)<br />7. นำโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วรวบรวมจัดทำรูปเล่ม<br />8. ดำเนินการตามกิจกรรม/โครงการ ที่ได้รับพิจารณา<br /><br />การดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 1. งานอำนวยการของสถานีตำรวจ จัดสรรงบประมาณให้กับโครงการตามความต้องการจำเป็นเร่งด่วน นำเสนอหัวหน้าสถานีตำรวจ ให้ความเห็นชอบและแจ้งให้เจ้าของโครงการทราบ<br /> 2. ผู้รับผิดชอบโครงการขออนุมัติดำเนินการตามโครงการ โดยทำบันทึกแนบโครงการผ่านงานอำนวยการ ตรวจสอบความถูกต้องของโครงการและงบประมาณ<br /> 3. เสนอขออนุมัติการดำเนินการต่อหัวหน้าสถานีตำรวจ<br /> 4. ดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 5. ผู้บริหาร เช่น หัวหน้าสถานีตำรวจ รองผู้กำกับการ หรือรองหัวหน้าสถานีตำรวจ หัวหน้าสายงาน ติดตามการดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม<br /> 6. เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการสรุปและรายงานผลการดำเนินการตามแบบสรุปโครงการ<br /><br /><br /><br />แบบสรุปรายงานผลการดำเนินงานโครงการ<br /><br />1. ชื่อยุทธศาสตร์ หรือกลยุทธ์................................................................................................................................................<br />2. ชื่อโครงการ..............................................................................................................................................<br />ระยะเวลา......................................................ผู้รับผิดชอบ........................................................................<br />3. วัตถุประสงค์.............................................................................................................................................<br />ผลที่คาดหวัง..............................................................................................................................................<br />4. กิจกรรม....................................................................................................................................................<br />5. ตัวชี้วัดความสำเร็จ....................................................................................................................................<br />6. ผลที่คาดว่าจะได้รับ..................................................................................................................................<br />7. งบประมาณ..............................................................................................................................................<br />แหล่งงบประมาณ จำนวนที่ได้รับ จำนวนที่ใช้ คงเหลือ หมายเหตุ<br />งบประมาณ ตร./หน่วยเหนือ <br />งบประมาณจากหน่วยงานอื่น <br />เงินนอกงบ <br />รวม <br /><br />8. ผลการดำเนินงาน<br />ผลที่คาดหวัง ผลที่ได้รับ ผลลัพธ์/หน่วย<br />(ร้อยละความสำเร็จ)<br />ด้านปริมาณ ด้านคุณภาพ ด้านปริมาณ ด้านคุณภาพ <br /><br /> <br /><br />9. สรุป...........................................................................................................................................................<br />10. ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ................................................................................................................<br /><br />ลงชื่อ......................................................ผู้รับผิดชอบโครงการ ลงชื่อ.............................................ผู้ประเมินผล<br /> (.....................................................) (............................................)<br />ตำแหน่ง.................................................. ตำแหน่ง หัวหน้าสถานีตำรวจ.............................<br /><br /><br /><br />กลุ่มที่.............................................<br />ใบงานที่ 1 วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งหน่วยงานและวิธีปรับปรุงพัฒนา<br /><br />จุดอ่อน วิธีการปรับปรุงจุดอ่อน จุดแข็ง วิธีการส่งเสริมพัฒนาจุดแข็ง<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ใบงานที่ 2 การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์<br /><br /> วิสัยทัศน์...........................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br /> พันธกิจ............................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br /> เป้าประสงค์......................................................................................................................................................<br />....................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................<br /><br /><br />ใบงานที่ 3 การสร้างกลยุทธ์ ตัวชี้วัด แนวทางดำเนินงาน<br /><br />กลยุทธ์ที่ (ข้อความกลยุทธ์).........................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />ตัวชี้วัดกลยุทธ์…………………………………………………………………………………………………………<br />.......................................................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br />แนวการดำเนินงาน........................................................................................................................................................<br />.......................................................................................................................................................................................<br /><br />ใบงานที่ 4 การวิเคราะห์งบประมาณหน่วยงาน<br /><br />สายงาน ปีงบประมาณ 2550 ปีงบประมาณ 2551 ปีงบประมาณ 2552 ปีงบประมาณ 2553<br /> ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ ข้าราชการตำรวจ งบประมาณ<br />งานอำนวยการ <br />งานป้องกันปราบปราม <br />งานสืบสวน <br />งานจราจร <br />งานสอบสวน <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br /> <br />รวมงบประมาณทั้งสิ้น <br /><br />ใบงานที่ 5 การจัดทำโครงการ/กิจกรรม<br /><br />โครงการ........................................................................................................................................................................<br />กลยุทธ์ที่.......................................................................................................................................................................<br />ลักษณะโครงการ..........................................................................................................................................................<br />งานที่รับผิดชอบ...........................................................................................................................................................<br />ผู้รับผิดชอบ..................................................................................................................................................................<br />ระยะเวลาดำเนินการ....................................................................................................................................................<br />หลักการและเหตุผล.......................................................................................................................................................<br />...................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />วัตถุประสงค์<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br />เป้าหมาย<br /> เชิงคุณภาพ.....................................................................................................................................................<br /> เชิงปริมาณ.....................................................................................................................................................<br />วิธีดำเนินการ<br />......................................................................................................................................................................................<br />......................................................................................................................................................................................<br /><br />แผนการดำเนินงาน<br />กิจกรรม ระยะเวลา ผู้รับผิดชอบ ผู้ควบคุม<br /> ตค พย ธค มค กพ มีค เมย พค มิย กค สค กย <br /><br /><br /><br /> <br /><br />งบประมาณ รวมทั้งสิ้น...............................บาท<br />รายการงบประมาณ(กิจกรรม) งบประมาณทั้งสิ้น ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าครุภัณฑ์<br /><br /><br /> <br />รวม <br /><br />การวัดและประเมินผล<br />ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัด/ประเมินผล เครื่องมือวัด ผู้ควบคุม<br /><br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br />ด้านคุณภาพ.....................................................................................................................................................<br />ด้านปริมาณ....................................................................................................................................................<br /><br /><br /> ผู้เสนอโครงการ ผู้เห็นชอบโครงการ<br />ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ......................................................<br /> (……………………………….) (...................................................)<br />ตำแหน่ง.................................................... ตำแหน่ง.....................................................<br /><br /> ผู้อนุมัติโครงการ<br /> ลงชื่อ.......................................<br /> (........................................)<br /> ตำแหน่ง ผู้กำกับการสถานีตำรวจ................<br /><br />15.สิ่งที่ควรกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการ(โครงการ) <br /><br />1. ระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการให้ชัดเจน <br />2. ระบุจำนวนวันและระยะเวลาในการดำเนินโครงการ<br />3. ระบุกลุ่มและกลุ่มงานที่รับผิดชอบโครงการ<br />4. ระบุเป้าหมายของโครงการทั้งด้านคุณภาพและด้านปริมาณ<br />5. กำหนดมาตรฐานคุณภาพของงาน สถานีตำรวจ ตามตัวชี้วัด โครงการพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อประชาชน <br />6. กำหนดผลผลิตของโครงการ <br />7. งบประมาณที่ใช้ต้องระบุรายการให้ชัดเจน<br />- ค่าตอบแทน - ค่าใช้สอย - ค่าวัสดุ (ระบุรายการ)<br /><br /><br /><br /><br />บรรณานุกรม<br /><br />1. ดร.วัฒนา พัฒนพงษ์ :(2547) BSC และ KPI เพื่อการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน,พิมพ์ดีการพิมพ์,กรุงเทพฯ.<br />2. สำนักงาน กพร.:(2548),การจัดทำแผนปฏิบัติราชการและแผนปฏิบัติราชการประจำปี การติดตามผล<br /> เว็อบไซด์ สำนักงาน กพร.<br />3. สำนักงาน กพร.:(2548),การแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติด้วยการบริหารโครงการ เว็บไซด์สำนักงาน กพร.<br />4. สำนักงบประมาณ : (2552) ,แนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ (พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๕๔)เพื่อการจัดทำงบประมาณ เว็บไซด์ สำนักงบประมาณ<br /> --------------------------------------------------------------Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-32712795593172920492009-05-08T23:06:00.000-07:002009-05-11T04:05:00.097-07:00ตัวอย่างข้อสอบวิชาแผนโครงการ หลักสุตรสารวัตรคำถาม ก่อนเรียน วิชา แผนโครงการ ของ พ.ต.อ.ณรงค์ ทรัพย์เย็น http//sapyenna.blogspot.com โทร.๐๘๑-๙๘๑๑๘๖<br />-ให้เลือกคำตอบโดยขีดกากบาทข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว<br />๑.ข้อใด ไม่น่าเป็นผลผลิตของ สภ.ที่ควรต้องเขียนไว้ในแผนปฏิบัติราชการ<br />ก.จำนวนครั้งที่ถวายความปลอดภัย<br />ข.การไกล่เกลี่ยคดีจำนวนกี่คดี<br />ค.จำนวนผู้ว่างงานที่ตำรวจแนะนำไปหางานให้<br />ง.จำนวนหมู่บ้านเป้าหมายที่สายตรวจตำบลไปทำชุมชนเข้มแข็ง<br />๒.ประสิทธิผล กับประสิทธิภาพ แตกต่างกันในมิติใดมากสุด<br />ก.ชื่อเรียก<br />ข.ความคุ้มทุน<br />ค.การใช้ทรัพยากร<br />ง.ถูกทุกข้อ<br />๓.ปัจจัย T-TERRAIN หมายถึงสิ่งใดบ้าง<br />ก.พื้นที่ สภ.โป่งยอ เป็นป่า มีเขาเป็นลูกคลื่น<br />ข.คนใน อ.โป่งยอ มีหลายเชื้อชาติ มีความเป็นเครือญาติสูง<br />ค.ข้อ ก.และ ข.<br />ง.สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมืองใน อ.โป่งยอ มีการแก่งแย่งกัน<br /><br /><br /><br />๔.ข้อใด ไม่ใช่แผนแผนปฏิบัติการ <br />ก.แผนปฎิบัติการประจำปีจังหวัดสารขันธ์<br />ข.แผนบริหารราชการแผ่นดินประจำปี๕๓ ของรัฐบาล<br />ค.แผนปฏิบัติงานประจำปี๕๒ ของ ภ.จว.สันติบุรี<br />ง.แผนถวายความปลอดภัย พระราชอาคันตุกะเสด็จฯองค์พระปฐมเจดีย์<br />๕.แผนปฏิบัติงาน และแผนปฏิบัติราชการต่างกันอย่างไร<br />ก.ต่างกันที่ชื่อ<br />ข.แผนปฏิบัติงานใช้กับทุกหน่วยได้ ส่วนแผนปฏิบัติราชการ ใช้กับส่วนราชการ<br />ค.ถ้าเป็นแผนยาว๒ปีขึ้นไปใช้ว่าแผนปฏิบัติราชการ<br />ง.ถ้าเป็นแผนปีเดียวใช้ว่า แผนปฏิบัติการ<br />๖.สิ่งใดที่ พรฎ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไม่ได้กำหนดว่าต้องมีในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของส่วนราชการ<br />ก.สภ.กระต่ายเต้นลดคดีลักรถ จยย.ปี ๕๓ ให้เหลือหาย ๓๐ คัน/ปี น้อยกว่าปี ๕๒ จำนวน ๑๐ ราย คิดเป็นลดร้อยละ ๑๐<br />ข.สภ.หนองบัว จะจ่ายเบี้ยเลี้ยงตำรวจให้ได้ เต็มเดือนทุกเดือน<br />ค.สภ.หนองแห้ง จะลดรายจ่ายค่าไฟฟ้าให้เหลือเดือนละ ๑๗,๐๐๐ บาท จากปี ๕๒ ที่จ่ายเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาทคิดเป็นร้อยละ ...........<br />ง.สภ.โคกสูง พัฒนาชุมชนหนองตาแต้ม และหมู่บ้านวังรัก จำนวน ๒ หมู่บ้านเป็นชุมชนเข้มแงปลอดยาเสพติดให้ได้ในปี ๕๓ เพิ่มจากปี ๕๒ จำนวน ๑ หมู่บ้าน<br />๗.ให้ท่านเลือกว่า วิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์ ของ สภ.โป่งยอ ข้อใด สอดคล้องกันที่สุด<br />ก.เป็นหน่วยงานที่ประชาชน ให้ความร่วมมือ ป้องกันแก้ไข ไม่ให้ชาวบ้านหวาดกลัวภัยอาชญากรรม<br />ข.มีหน้าที่ในการป้องกัน ปราบปรามอาชญากรรม<br />ค.จัดทำส่งเสริมให้ประชาชนมีอาชีพที่มั่นคง<br />ง.ดำเนินการจัดสายตรวจตำบลเป็นวิทยากรกระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็ง<br /><br />๘.ตามข้อ ข้างต้น ข้อใด น่าจะเป็นผลผลิตในเชิงปริมาณที่ต้องกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการของ สภ.<br />ก.ข้อ ค.และ ง<br />ข.ข้อ ค.<br />ค.ข้อ ก<br />ง.ข้อ ง<br />๙.ข้อใดน่าจะเป็นตัวชี้วัดผลผลิตด้านคุณภาพ ที่ควรต้องประกอบไว้ในแผนปฏิบัติราชการของ สภ.<br /> ก.จับกุมผู้ขายยาเสพติดรายย่อยได้ ๑๑๑ ราย เพิ่มขึ้นจากปี ๕๒ ร้อยละ๑๐ <br />ข.จับกุมผู้เสพยาเสพติดได้ ๑๒๐๐ ราย เพิ่มขึ้นจากปี ๕๒ ร้อยละ ๑๐<br />ค.จับกุมผู้ขายยาเสพติดรายย่อยได้จากการขยายผลเครือข่าย ได้ ๒๐ ราย เพิ่มขี้นจากปี ๕๒ ร้อยละ ๑๐<br />ง.จับกุมผู้ค้ารายใหญ่ได้ที่จุดตรวจได้ยาบ้า เกิน ๔๐๐๐ เม็ด เพิ่มขึ่นจากปี ๕๒ ร้อยละ ๑๐ <br />๑๐.ข้อใดน่าจะเป็นตัวชี้วัดผลผลิตด้านคุณภาพ ที่ควรต้องประกอบไว้ในแผนปฏิบัติราชการของ สภ.<br />ก.มีผู้ร้องเรียนพนักงานสอบสวนเหลือ ๑ราย/ปี/พงส.๑ คน<br />ข.พนักงานสอบสวนรับคดีเพิ่มมากขึ้น ๑๐๐ คน/คดี/ปี<br />ค.ผู้แจ้งความพึงพอใจการบริการของ พงส.เพิ่มเป็นร้อยละ ๘๐ มากกว่าปี ๕๒ ที่กำหนดไว้ร้อยละ ๗๐<br />ง.ร้อยละการสั่งคดีของพนักงานอัยการ ตามความเห็นพนักงานสอบสวนในการสั่งคดี เป็นร้อยละ ๙๙ ของคดีที่เป็นสำนวน(เว้นคดีศาลแขวง)<br />๑๑. สภ.โคกสูง ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบท ได้รับนโยบาย ๖ หลัก ๙ เร่ง ที่ ภ.จว.สันติบุรี ได้เขียนไว้ในแผน นโยบายด้านการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ให้มีการจัดกิจกรรมการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ข้อใดที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการของ สภ.โคกสูง ตอบสนองต่อนโยบายดังกล่าวของ ภ.จว.สันติบุรี ได้ดีที่สุด<br />ก.ทำเว็บไซด์ให้บริการประชาชนฝากบ้านไว้กับตำรวจในเทศกาลสำคัญ<br />ข.ออกเสียงตามสายในหมู่บ้านโดยสายตรวจตำบลให้พ่อแม่ดูแลอย่าให้เด็กๆขับรถ จยย.ช่วงสงกรานต์<br />ค.จัดกิจกรรมนำชาวบ้านเดินรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดในวันต้านยาเสพติดโลก<br />ง.เชิญชวนประชาชนมาชมนิทรรศการให้ประชาชนจัดสภาพแวดล้อมหมู่บ้านเพื่อป้องกันอาชญากรรมที่สถานีตำรวจ<br />๑๒.ข้อใดควรจะเป็นวิสัยทัศน์ของ สภ.อ่างทองเหลือง ซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบท (เป็นอำเภอที่ติดกับอำเภอเมือง ที่ว่าการอำเภอห่างศาลากลางจังหวัด ๑๐ กม)มากสุด<br />ก.สภ.อ่างทองเหลือง คือ สภ.ที่ตำรวจและชาวบ้านอยากมาอยู่มากที่สุด<br />ข.สภ.อ่างทองเหลือคือ พื้นที่ปลอดอาชญากรรมและยาเสพติด<br />ค.สภ.อ่างทองเหลืองคือหน่วยงานที่ทันสมัยที่สุด<br />ง.สภ.อ่างทองเหลือง คือหน่วยงานที่ให้ความยุติธรรมกับประชาชนมากที่สุด<br />๑๓.อะไรน่าจะเป็นผลงานเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องเขียนไว้ในแผนปฏิบัติราชการ<br />ก.สายตรวจไปเซ็นตู้แดงได้ผลัดละ ๑ รอบ<br />ข.จราจร ตั้งจุดกวดขันวินัยจราจรให้มีผู้สวมหมวกกันอันตรายร้อยละ ๘๐ ของผู้ขับขี่ จยย.ที่สี่แยกหน้าที่ว่าการอำเภอ<br />ค.งานสืบสวนทำแฟ้มสืบสวนเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด และแก็งค์ลักรถ นำไปสู่ออกหมายค้นทุกเดือน<br />ง.ประชาชนในพื้นที่ สภ. พึงพอใจการปฏิบัติหน้าที่ของสายตรวจตำบลทุกแห่งร้อยละ๘๐ ขึ้นไป<br /><br />๑๔.ในข้อข้างต้นข้อใด น่าจะเป็นวิสัยทัศน์ มากสุด<br />ก.ข้อ ก.<br />ข.ข้อ ข.<br />ค.ข้อ ค.<br />ง.ข้อ ง.<br />๑๕.ข้อใดหมายถึงแผนทางการบริหาร<br /> ก.แผนการสอนวิชาแผนโครงการ หลักสูตรสารวัตร<br />ข.แผนเข้าตีเร่งด่วนช่วยตัวประกันที่ยึดโรงพยาบาลราชบุรี<br />ค.แผนปฏิบัติงานประจำปีโรงเรียนโคกสูง<br />ง.แผนการจ่ายตลาดของแม่ครัว ศฝร.ภ.๗<br /><br />๑๖.ในข้อข้างต้นข้อใดน่าจะเป็นพันธกิจ มากสุด<br />ก.ข้อ ก.<br />ข.ข้อ ข.<br />ค.ข้อ ค.<br />ง.ข้อ ง.<br />๑๗.ในข้อ ข้างต้นข้อใด น่าจะเป็นกลยุทธ์ของ สภ.โป่งยอ มากที่สุด<br />ก.ข้อ ก.<br />ข.ข้อ ข.<br />ค.ข้อ ค.<br />ง.ข้อ ง.<br />๑๘.ตามหลักการทำงานตำรวจชุมชน ท่านคิดว่า อุปสรรค หรือภัยคุกคามใดที่เป็นปัญหาที่ทำให้ การทำงานของตำรวจไม่บรรลุเป้าหมาย<br />ก.คนไทย ชอบเล่นการพนันกินเหล้า โดยเฉพาะชาวบ้านในเขต อ.บ้านกล้วย<br />ข.นิสัย ความประพฤติของตัวตำรวจเอง<br />ค.ผู้บังคับบัญชาตำรวจไม่ให้การสนับสนุนการทำงาน<br />ง.กฎหมายเมืองไทย ไม่เข้มงวดรุนแรงพอ<br /><br />๑๙.ข้อใด เหมาะสมเป็นเป้าประสงค์ของ สภ.โป่งยอ ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบท แต่มีรีสอร์ท ระดับ ๓ ถึง ๔ ดาวอยู่ในพื้นที่มาก คนในกรุงเทพฯมักไปพักผ่อนในวันหยุด เสียค่าที่พักคืนละ ๗,๐๐๐ บาทต่อห้อง เพราะเป็นป่าที่ใกล้กรุงเทพฯมากสุดเพียง ๑๖๐ กม.<br />ก.สายตรวจไปตรวจตู้แดง ทุกรีสอร์ท ผลัดละ ๑ รอบ<br />ข.คนมาเที่ยว และคนที่อยู่มีความรู้สึกปลอดภัยจากอาชญากรรม<br />ค.คนมาเที่ยว รู้สึกสะดวกในการเดินทางและใช้ถนน<br />ง.จับกุมผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรที่นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุเช่น ไม่สวมหมวกกันอันตราย ขับรถเร็ว เพิ่มขึ้นจากปี ที่ได้ ร้อยละ ๑๐ <br />๒๐.สภ.นาขุนแสน เป็นชุมชนเก่าแก่ ชาวบ้านส่วนมากทำนา และทำไร่ เป็นชุมชนชนบทใหญ่ มีคนอยู่หนาแน่นประมาณ ๕หมี่นคนทั้งอำเภอ มีบางหมู่บ้านที่มีปัญหายาเสพติดผู้ติดส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นผู้ชาย แต่บางหมู่บ้านก็ไม่มีปัญหา เป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด นโยบายของ กอ.รมน.จังหวัด และ ภ.จว.สันติบุรี ต้องการให้การแก้ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ ข้อใด ควรเป็นเป้าประสงค์ ของ สภ.นาขุนแสน ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี นี้<br />ก.มี พันตำรวจเอก จรินทร์ เป็นผู้กำกับการ ต้องไม่มียาเสพติดในนาขุนแสน<br />ข. จับกุมผู้ค้ารายย่อย และผู้เสพให้ได้มากกว่าปีที่ผ่านมา ร้อยละ ๑๐<br />ค.แก้ไขไม่ให้คนติดยาเสพติด หันไปเสพอีกได้ร้อยละ ๕๐ ของผู้ที่ถูกจับกุม<br />ง.แก้ไขหมู่บ้านที่มีปัญหายาเสพติด เป็นหมู่บ้านเข้มแข็งปลอดยาเสพติดได้ร้อยละ ๕๐ ของหมู่บ้านที่มีปัญหายาเสพติด<br />๒๑.หากจะแก้ปัญหายาเสพติดโดยมีข้อมูลพื้นฐานของ สภ.นาขุนแสน ตามข้อ ๑๘ ผลผลิตหรือตัวชี้วัดใดเหมาะสม<br />ก.ผลผลิตเชิงปริมาณ เช่นจับกุมผู้เสพได้มากขึ้น<br />ข.ผลผลิตด้านคุณภาพ หรือตัวชี้วัดด้านคุณภาพ เช่นจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ ได้มากขึ้นกว่าปีที่แล้วร้อยละ ๑๐<br />ค.ผลผลิตเชิงปริมาณของกิจกรรม เช่นตรวจค้นจับกุมบ้านเป้าหมายผู้ค้า ได้มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ๑๐<br />ง.ผู้เสพ เลิกเสพยาได้มากขึ้นร้อยละ ๙๐ ของผู้เสพที่ขึ้นทะเบียนโดยกรรมการหมู่บ้าน <br />๒๒.ผบก.ภ.จว.สันติบุรี ได้ออกคำรับรองว่า ให้ สภ.ทุกแห่งในสังกัด ทำ แผนปฏิบัติราชการประจำปี หรือโครงการ ที่มีผลลัพธ์ ของการต่อสู้ ยาเสพติดได้เด็ดขาด ให้ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีด้วย ให้ใช้ข้อมูล สภ.นาขุนแสน เลือกคำตอบที่แสดงถึงผลลัพธ์หรือตัวชี้วัดในคำรับรอง หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของ สภ.นาขุนแสน เกี่ยวกับการต่อสู้ปัญหายาเสพติดนี้<br />ก.มีผลการจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ ได้ เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ ๑๐<br />ข.มีหมู่บ้านที่ปลอดยาเสพติด เพิ่มขึ้น ร้อยละ ๑๐ จากปีที่ผ่านมา<br />ค.มีหมู่บ้านที่ได้ใช้กองทุนแม่ในการพัฒนาหมู่บ้านต้านยาเสพติดได้เป็นจำนวนเงิน ร้อยละ ๗๐ ของเงินกองทุนที่มีอยู่<br />ง.มอบธงครอบครัวปลอดยาเสพติดได้เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาได้ร้อยละ ๒๐<br />๒๓.โครงการของ สภ.นาขุนแสน ด้านยาเสพติดตามข้อข้างต้น ควรที่จะต้องสอดรับกับ เป้าประสงค์ เป้าหมาย ตัวชี้วัด อย่างไร ให้ท่านพิจารณาเป้าหมายโครงการเหล่านี้ ข้อใด สอดคล้องมากสุด<br />ก.โครงการ เรียนทอผ้า เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้ติดยา มีงานทำ ไม่มั่วสุม<br />ข.โครงการ ลานกีฬา ต้านยาเสพติด ให้วัยรุ่นเล่นกีฬา จะได้ใช้เวลากับกีฬา ไม่ไปเสพ<br />ค.โครงการ ให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง<br />ง.โครงการจัดสายตรวจร่วม สายตรวจตำบล กับชาวบ้าน ไม่ให้วัยรุ่นไปซื้อยานอกหมู่บ้าน<br />๒๔.ข้อใดเป็นจุดแข็ง(Strength)ของ สภ.นาขุนแสน ตามข้อมูลข้อข้างต้น<br />ก.ตำรวจร้อยละ ๗๐ เป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์และธนาคารที่นำมาซื้อรถยนต์หรือใช้จ่ายประจำวัน<br />ข.ประชาชนให้ความร่วมมือกับตำรวจดี เคารพเชื่อถือตำรวจมากกว่า สภ.ที่อยู่ในเมืองใหญ่<br />ค.อบจ.และ ภ.จว.ทุ่มงบประมาณ และให้ความสำคัญในการจัดวิทยากระบวนการเพื่อทำให้ชุมชนเข้มแข็งในพื้นที่<br />ง.มีนายทุนมาลงทุนทำรีสอร์ท สถานบริการ ทำโรงงานในพื้นที่มาก ทำให้วิถีชีวิตชนบทเริ่มเปลี่ยนไป<br />๒๕.ข้อใด ตามข้อข้างต้น เป็นจุดอ่อนของ สภ.นาขุนแสน<br />ก.ข้อ ก<br />ข.ข้อ ข<br />ค.ข้อ ค<br />ง.ข้อ ง<br />๒๖.ข้อใด ตามข้อข้างต้นเป็นโอกาส ของ สภ.นาขุนแสน<br />ก.ข้อ ก.<br />ข.ข้อ ข<br />ค.ข้อ ค<br />ง. ข้อ ง<br />๒๗.ข้อใด ตามข้อข้างต้นเป็นอุปสรรค ของ สภ.นาขุนแสน<br />ก.ข้อ ก<br />ข ข้อ ข<br />ค ข้อ ค<br />ง.ข้อ ง<br />๒๘ ข้อใด คือโครงการที่แสดงออกถึงการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด จากการทำการวิเคราะห์SWOT ของโรงพักนาขุนแสนว่า มีตำรวจที่ไม่เป็นหนี้อยู่มาก ทุกคนไม่อยากย้าย และ อบจ.สนับสนุนงบประมาณให้ สภ.นาขุนแสนทำโครงการ ชุมชนเข้มแข็งแก้ปัญหาอาชญากรรม ด้วยวิธีการ วิทยากรกระบวนการ<br />ก.ทำโครงการ ส่งเสริมอาชีพแม่บ้านตำรวจ<br />ข.ทำโครงการเตรียมตัวเกษียณอายุให้ตำรวจ<br />ค.ทำโครงการ ประชาคมหมู่บ้านแก้ปัญหายาเสพติด<br />ง.ทำโครงการพัฒนาตัวตำรวจให้มาก ๆ<br />๒๙.สภ. บ้านกล้วย เป็น สภ.ที่อยู่ในเมือง แต่ตัวตำรวจเกินครึ่ง คือ ๑๒๐ คนมีเมียน้อย หรือกิ๊ก ทำให้ต้องไปกู้เงินธนาคารออมสิน เฉลี่ยตำรวจเป็นหนี้คนละประมาณ ๒ แสนบาท พนักงานสอบสวน ๒๐ คน ถูกร้องเรียนปีนี้ เฉลี่ยคนละ ๑ เรื่อง สวป.กับรอง ผกก.ป.ไม่ค่อยกินเส้นกัน เพราะเรื่องตู้แดง (ไม่ต้องบรรยายรายละเอียด เพราะคนทั้งตลาดเค้ารู้กันว่าเรื่องอะไร ไม่เชื่อไปถามคนส่งน้ำแข็งที่ร้านค้าหลัง สภ.ที่มีงานเสริมเก็บดอกเบี้ยรายวันจากตำรวจจราจรด้วย) ชาวบ้านเบื่อหน่ายความประพฤติของตำรวจ คาดว่าการประชุมประจำเดือนของกำนันผู้ใหญ่บ้านเดือนหน้า ชาวบ้านจะมารวมตัวไปที่จังหวัด เพื่อขอให้ย้าย ผกก.และ รอง ผกก.ป เมื่อมาวิเคราะห์แล้ว ตามหลักการ SWOT สภ.บ้านกล้วยมีลักษณะอย่างไร<br />ก.Strength บวก Opportunity<br />ข.Strength + Threats<br />ค.Weakness + Opportunity<br />ง.Weakness +Threats<br />๓๐.แผนกลยุทธ์ ต่างจากแผนปฏิบัติการธรรมดาอย่างไร<br />ก.แผนกลยุทธ์ มีการทำการวิเคราะห์ จุดอ่อนจุดแข็ง แล้วนำมาทำแผนให้ถูกกับสภาพแวดล้อม<br />ข.แผนกลยุทธ์ มีการนำสภาพปัจจัยแวดล้อมมาเป็นตัวกำหนดวิธีทำงาน<br />ค.แผนปฏิบัติการธรรมดา ไม่ได้คำนึงถึงสภาพแวดล้อม<br />ง.ถูกทุกข้อ<br />๓๑โครงการใด ของ สภ.บ้านกล้วย ที่ท่านคิดว่า เมื่อพิจารณาปัจจัย METT-TC แล้ว สังคมรับไม่ได้<br />ก.โครงการทดสอบสมรรถภาพร่างกายเฉพาะชั้นประทวน<br />ข.โครงการตรวจค้นยาเสพติดทุกรอบ ๑ เดือน<br />ค.โครงการ ผักสวนครัว รั่วบ้านตำรวจชั้นประทวนกินได้<br />ง.โครงการวารสารสถานีตำรวจ ที่ออกแผ่นปลิวแจ้งข่าวงานโรงพัก งานรักษาความสงบให้ชาวบ้านรู้ เช่น รถจยย.ลูกนางแจ๋ว ถูกยึดไว้ที่ โรงพัก ไม่มีใครเอาหลักฐานไปรับมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว<br />๓๒.เมื่อพิจาณา วิเคราะห์จาก ปัจจัย PEST แล้ว โครงการใด ของ สภ.โป่งยอ ที่เป็นพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ไม่น่าเป็นที่ยอมรับของสังคมได้<br />ก.โครงการบริการข้อมูลเว็บไซด์ ตามรีสอร์ทในป่าที่ระบบโทรศัพท์ไปถึง<br />ข.โครงการจัดส่งหัวหน้าสายตรวจตำบล ไปรณรงค์ด้านการเมืองก่อนเลือกนายก อบต.<br />ค.โครงการ ครู ๕ นาทีอบรมนักเรียนเกี่ยวกับการจราจรช่วงเปิดเทอม<br />ง.โครงการรณรงค์ เมาไม่ขับ ในวันเทศกาลต่าง ๆที่มีนักท่องเที่ยวมานอนรีสอร์ทในป่า<br />๓๓.ข้อใดคือยุทธศาสตร์ <br />ก.สภ.บ้านกล้วย จัดสายตรวจตรวจตู้แดงผลัดละ ๑ รอบ<br />ข.สภ.บ้านกล้วย จัดระดมกวาดล้างเป้าหมายยาเสพติด และอาชญากรรมพื้นฐานเดือนละ ๑ ครั้ง<br />ค.สภ.บ้านกล้วย สร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่หวาดกลัวภัยอาชญากรรม ได้ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป<br />ง.สภ.บ้านกล้วย จัดหนังสือพิมพ์บริการสร้างความประทับใจให้กับผู้มาแจ้งความ<br />๓๔.ตามข้อข้างต้นขัอใด น่าจะเป็นกลยุทธ์ของยุทธศาสตร์การป้องกันปราบปรามอาชญากรรม<br />ก.ข้อ ก.<br />ข.ข้อ ข.<br />ค.ข้อ ก.และ ข.<br />ง.ข้อ ค.<br />๓๕.ปัจจัย METT-TC ที่นำมาพิจารณา ในการทำโครงการหรือภารกิจของตำรวจ ข้อใด ครอบคลุมคำว่า MISSION มากที่สุด<br />ก.ตรวจตู้แดง<br />ข.ตรวจตู้แดง เพื่อลดโอกาสการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพย์<br />ค.ไปเล่นดนตรีให้กับเด็กในโรงเรียนเพื่อสร้างมวลชนสัมพันธ์<br />ง.จัดทำแฟ้มสืบสวนแก็งค์คนร้าย ให้ได้ครบทุกฐานความผิด<br />๓๖.ปัจจัย Enamies หมายถึงเรื่องอะไร ที่ครอบคลุมมากสุด<br />ก.คนร้าย<br />ข.ศัตรู<br />ง.ฝ่ายตรงข้าม<br />จ.สิ่งที่จะทำภารกิจไม่สำเร็จ<br />๓๗.เป้า ประสงค์ กับเป้าหมาย ที่จะเขียนกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการของ สภ.ต่างกันอย่างใด<br />ก.เป้าประสงค์ บอกทิศทาง ผลลัพธ์ระยะยาว<br />ข.เป้าหมาย บอกตัวชี้วัด ผลผลิต การดำเนินกิจกรรมระยะสั้น<br />ค.เป้าประสงค์ มักเป็นตัวบอกหรือกำหนดเป้าหมายในระดับยุทธศาสตร์<br />ง. ถูกทุกข้อ<br /><br /><br />๓๘.ใน GRANTT มักไม่บอกอะไรบ้าง<br />ก.ขั้นตอนการทำโครงการ<br />ข.เวลาทำงานเมื่อใด<br />ค.ผู้รับผิดชอบ<br />ง.ค่าใช้จ่าย<br />๓๙.ผลผลิต หมายถึงข้อใด<br />ก.ผู้กำกับการตรวจตู้ยามสายตรวจได้ครบทุกตู้ในรอบ๑ เดือน<br />ข.สร้างความพึงพอใจในการเยี่ยมเยียนสายตรวจตำบล ชาวบ้านพอใจ ร้อยละ ๘๐ร่วมมือกับตำรวจมากขึ้น<br />ค.ประชาชนในพื้นที่มีความรู้สึกปลอดภัยจากภัยอาชญากรรม ระดับเกินร้อยละ ๘๐<br />ง.ถูกทุกข้อ<br />๔๐ ข้อใดในข้อข้างต้นคือผลลัพท์<br />ก.ข้อ.ก<br />ข.ข้อ ข.<br />ค.ข้อ ค.<br />ง.ถูกหมดทุกข้อ<br />๔๑.ข้อใดในข้อ ๓๘ คือผลสัมฤทธิ์<br />ก.ข้อ.ก<br />ข.ข้อ ข.<br />ค.ข้อ ค.<br />ง.ถูกหมดทุกข้อ<br />๔๒.เมื่อสอน อบรมหลักสูตรสารวัตรแล้ว ท่านมีความภูมิใจที่จะไปทำงานในหน้าที่ตำรวจแสดงว่าท่านมี<br />ก.ความรู้<br />ข.มีความคิด<br />ค.มีทักษะ<br />ง.ถูกหมดทุกข้อ<br />๔๓.จักรพรรดิ นโปเลียนกล่าวไว้ว่า 'There are but two powers in the world, the sword and the mind. In the long run the sword is always beaten by the mind.' กลยุทธ์ในโครงการใด ที่สอดคล้องกับความคิดหรือคำกล่าวของนโปเลียนดีงกล่าวนี้<br />ก.การแก้ปัญหาอาชญากรรมต้องใช้การตรวจค้นจับกุม โดยพิจารณาปัจจัยที่ทำให้เกิดอาชญากรรมว่าเกิดจากสาเหตุใด แล้วแก้ที่สาเหตุนั้น ๆ ให้ตรงประเด็น<br />ข.การแก้ปัญหาอาชญากรรมต้องใช้งานตำรวจชุมชน<br />ค.การแก้ปัญหาอาชญากรรมต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม<br />ง.การแก้ปัญหาอาชญากรรมต้องใช้หลายกลยุทธ์ให้เหมาะกับสาเหตุ แต่ท้ายสุดการชนะใจประชาชน คือการแก้ปัญหาทั้งปวง<br />๔๔.วิทยากรกระบวนการ ต่างจากหลักการตำรวจชุมชนอย่างไร<br />ก.ต่างกันแค่ชื่อเรียก<br />ข.กลยุทธ์ต่างกัน<br />ค.การสำรวจสภาพปัญหาพื้นที่หมู่บ้านต่างกัน<br />ง.วิทยากรกระบวนการแก้ได้เฉพาะปัญหายาเสพติดเท่านั้น<br />๔๕.เมื่อเทียบกันแล้ว สภ.โป่งยอ มีประสิทธิภาพดีกว่า สภ.บ้านกล้วย ตรงกับข้อใด<br />ก.สภ.โป่งยอ จับคนเสพยาบ้าได้ ๑๐ ราย สภ.บ้านกล้วยจับได้ ๒๐ ราย<br />ข. สภ.โป่งยอ จับไม่สวมหมวกกันน็อค ได้ ๑๐ ราย ปรับได้ ๑๐ ราย แต่ สภ.บ้านกล้วย จับได้ ๒๐ ราย ว่ากล่าว ๑๓ ราย<br />ค.สภ.โป่งยอ ได้รับงบประมาณทั้งหมด ๑๐ ล้าน ชาวบ้านมั่นใจในความปลอดภัย ในชีวิตทรัพย์สินร้อยละ ๘๐ เท่ากับคนใน สภ.บ้านกล้วย ซึ่งได้รับงบประมาณ ๒๐ ล้าน และอยู่ในเมืองมากกว่า<br />ง.ถูกทุกข้อ<br />๔๖.เป้าประสงค์ กับ เป้าหมาย ในคำรับรองปฏิบัติราชการต่างกันอย่างไร<br />ก.ต่างกันที่ชื่อเรียก<br />ข.เป้าหมาย คิดในเชิงยุทธศาสตร์ เป้าประสงค์คิดในเชิง กลยุทธ์<br />ค.เป้าประสงค์ เป็นเป้าหมายในเชิงยุทธศาสตร์ ที่หวังในระยะยาว<br />ง.ถูกหมดทุกข้อ<br />๔๗.โครงการ ไปเกี่ยวข้องกับ คำรับรองปฏิบัติราชการอย่างไร<br />ก.ไม่เกี่ยวกัน<br />ข.มีคำรับรอง ต้องมีโครงการ<br />ค.โครงการ เป็นแผนการปฏิบัติ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามคำรับรอง<br />ง.ถูกหมดทุกข้อ<br />๔๘.ข้อใด เป็นการวัดระดับความสำเร็จ หรือเป้าหมายเป็น ลำดับขั้นความสำเร็จในการดำเนินการหรือ Milestone<br />ก.จับกุมคดีฆ่าผู้อื่น ได้ร้อยละ ๕๐ ของคดีที่รับแจ้ง<br />ข.รับแจ้งคดีเกี่ยวกับทรัพย์ลดลง ร้อยละ๑๐ ของปีที่ผ่านมา<br />ค.จัดตั้งคณะทำงานพิจารณาความสำคัญคดีค้างเก่า<br />ง.ถูกหมดทุกข้อ<br />๔๙.ข้อใด คือการทำข้อสอบในโลกของการทำงานจริง<br />ก.ผกก.สั่งให้ท่านนั่งทำโครงการ ตำรวจสายตรวจรถจักรยาน อยู่ในห้องคนเดียวให้ส่งให้เสร็จภายใน วันจันทร์หน้า<br />ข.ผกก.สั่งให้ท่านนั่งทำโครงการ สายตรวจจักรยานในห้อง โดยผกก.อธิบาย รายละเอียดให้ท่านฟังก่อน ๑ ชั่วโมง<br /> ค. ผกก.สั่งให้ รอง ผกก.ปป.ทำโครงการถจักรยานสายตรวจแล้วบอกว่า ห้ามไม่ให้ถามใคร หรือค้นคว้า<br />ง.ผกก.สั่ง ในที่ประชุม หรือเรียกท่านมาสั่ง ให้ทำโครงการสายตรวจจักรยาน ส่งภายในสัปดาห์หน้า <br />๕๐.เมื่อท่านทำข้อสอบใกล้หมดแล้ว ถ้าเป็นการทำปัญหาในชีวิตการทำงานจริง ท่านคิดว่าจะใช้วิธีใด จึงจะตอบปัญหาได้ถูกที่สุด และเร็วที่สุด<br />ก.ค้นคว้าจากอินเตอร์เนตด้วยตนเอง<br />ข.ถามผู้รู้<br />ค.นั่งทำคนเดียว ค้นคว้าตำรา<br />ง.นึกถึง ทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้วตอบคำถาม<br /> -------------------------------------------------------------------------------------------------------Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-42587578063823157022009-04-27T09:46:00.000-07:002009-04-27T09:47:17.547-07:00สมรรถนะหลักของตำรวจทุกคนใน ภ.7คำอธิบายสมรรถนะหลักและระดับพฤติกรรมของสมรรถนะหลัก(Core Competencies Indicators)<br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ-ระดับ 3,4และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3หรือ4ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />1<br />สล.1 จิตสำนึกให้บริการ(Service Mind)<br />1.ความสามารถเข้าใจความคาดหวังและความต้องการของประชาชน หรือผู้มาใช้บริการงานตำรวจ หรือประชาชนที่ตำรวจพบ ซักถาม<br />2.มีค่านิยมว่า “ตำรวจต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ”หรือประชาชนผู้เดือดร้อน,ผู้แจ้งหรือ ชุมชนเป็นผู้ที่ต้องให้ความสำคัญ<br />3.ตอบสนองความต้องการผู้รับบริการจากตำรวจอย่างเอื้ออาทร เต็มใจ ด้วยกริยา วาจา เหมาะสม ครบวงจร ในสภาพที่เป็นไปได้จริง หรือศีลธรรมและกฎหมาย หรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม<br />ระดับ 1.ให้บริการประชาชนเพราะหน้าที่ หรือผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ทักทาย ไม่แนะนำ ใช้น้ำเสียง หรือคำพูด กริยา ที่ผู้รับบริการ หรือสัมผัสฟังแล้วทำให้ไม่พอใจ หรือไม่เข้าใจ ทำให้มองภาพพจน์ตำรวจในทางลบ มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทำงานบ่อย<br />ระดับ 2 ยิ้มแย้มแจ่มใส หรือปรับบุคลิกภาพหรือมารยาทตามเหตุการณ์ที่เหมาะสม ใช้คำพูด กริยา เหมาะสมไม่ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้รับบริการ แก้ไขปัญหาหรือบริการตามพันธะสัญญาได้ตามที่กำหนด<br />ระดับ 3 แก้ไขปัญหาของผู้รับบริการได้อย่างพอใจหรือได้ดีกว่าตามพันธะสัญญาที่กำหนดไว้<br />ระดับ 4 เป็นตัวอย่างในการให้บริการประชาชนหรือผู้รับบริการได้พอใจเป็นแบบอย่างในหน่วยงาน หรือ สภ.<br />ระดับ 5 ชักนำ หรือเป็นตัวแบบนำผู้ร่วมงาน หรือถ่ายทอด กระตุ้นให้ผู้ร่วมงานบริการแก้ไขปัญหาของประชาชนหรือผู้ใช้บริการได้ประทับใจอย่างกว้างขวางในหน่วยงานหรือ สภ.<br /><br /><br /><br /><br />2<br />สล2 ความมุ่งผลสัมฤทธิ์(Achievement Motivation)<br />-ความมุ่งมั่นในหน้าที่ หรือภารกิจที่รับผิดชอบ ที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ หรือที่ได้รับมอบหมาย ตามเวลา<br />ระดับ 1.ทำงานตามที่ได้รับคำสั่ง หรือมอบหมายให้เสร็จได้ตามเวลา โดยที่ต้องมี การกำชับ การเตือน การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด หรือมีสิ่งจูงใจตอบแทนระยะใกล้<br />ระดับ 2.ทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายได้ อย่างได้ผลดี ตามเวลา โดยมิต้องมีการเตือนหรือการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมิต้องมีสิ่งตอบแทนระยะใกล้มาจูงใจ<br />ระดับ 3.ทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย ได้ผลเป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีอุปสรรค หรือมีสถานการณ์กดดัน และมีแนวทางในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น แม้ว่าจะไม่มีสิ่งจูงใจหรือการบังคับระยะใกล้ก็ตาม<br />ระดับ 4.ทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย มีการตั้งเป้าหมายของตนเองที่ท้าทาย หรือมีอุปสรรค สถานการณ์ความยากลำบากกดดัน มีผลงานดีเด่น สามารถเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นได้ โดยไม่หวังผลตอบแทนระยะใกล้<br />ระดับ 5.ทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย มีผลงานดีเด่น สามารถชักชวน ถ่ายทอด กระตุ้น จูงใจ ให้เพื่อนร่วมงานพัฒนาวิธีการทำงานและมุ่งมั่นต่อการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด<br /><br />3<br />สล3 ความร่วมแรงร่วมใจ(Teamwork)<br />-ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีทักษะในการปรับตัวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของหน่วยงาน โดยอาจมีการแลกเปลี่ยน ถ่ายทอด ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์กัน<br />ระดับ1.มีปัญหาทะเลาะ ขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ใต้บังคับบัญชา บ่อยครั้ง แม้ว่าจะเปลี่ยนแปลงหน่วยที่ทำงาน หรือผู้ที่ร่วมทำงานแล้ว<br />ระดับ 2.เมื่อทำงานเป็นกลุ่ม มักไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ชอบหลีกเลี่ยงการประชุม คอยจะรับคำสั่งโดยไม่ได้ร่วมใจ ร่วมคิด เพื่อให้งานของหน่วยหรือกลุ่มมีประสิทธิภาพ จะทำงานเฉพาะเมื่อหัวหน้าสั่งหรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนระยะใกล้<br />ระดับ 3 มีความกระตือรือร้นในการทำงานของหน่วยที่เป็นส่วนรวม มีความอดทนอดกลั้น ในเรื่องเล็กน้อย เพื่อไม่ให้งานส่วนรวมเสียหาย<br />ระดับ 4 กระตือรือร้นในการทำงานส่วนรวม เป็นตัวแบบ(Role Model)ให้แก่เพื่อนร่วมงานในการเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่มีผลประโยชน์หรือผลงานที่จะเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน<br />ระดับ 5 ไม่เห็นแก่ตัว นำหรือปลุกเร้า จูงใจเพื่อนร่วมงาน ให้ร่วมใจทำงานส่วนรวม โดยใช้ความหลากหลายในทักษะ ประสบการณ์ หรือความรู้ ให้เกิดประโยชน์<br /><br /><br />4<br />สล4 ความมีจริยธรรมตำรวจ<br />-ความซื่อตรงต่อวินัยตำรวจ อุดมคติตำรวจ และจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ เช่นจรรยาบรรณพนักงานสอบสวน ไม่กระทำผิดไปจากวินัยตำรวจ<br />ระดับ 1.ทำผิดวินัยตำรวจ และจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องเสมอ ในเรื่องเล็กๆ น้อย มีความอดทนอดกลั้นทางอารมณ์บ้างแต่น้อย <br />ระดับ 2 .ปฏิบัติตามวินัยตำรวจ และจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตนในแนวทางที่ไม่เสี่ยงหรือเกิดข้อสงสัยในความซื่อสัตย์หรือวินัยตำรวจ เช่น นั่งรถคันเดียวกับผู้ต้องสงสัยหรือผู้มีอิทธิพลบ่อย ๆ มีความอดทนอดกลั้นบ้าง<br />ระดับ 3 ปฏิบัติตน ตามแนวทางอุดมคติตำรวจ ทั้งคำพูดและการปฏิบัติ มีความอดทนอดกลั้นดี<br />ระดับ 4 เป็นตัวอย่างแก่เพื่อนร่วมงานในด้านระเบียบวินัย อุดมคติตำรวจ จรรยาบรรณที่เกี่ยวข้อง<br />ระดับ 5 เป็นตัวแบบให้แก่เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งเป็นผู้นำในการกระตุ้น จูงใจ ให้เพื่อนร่วมงานปฏิบัติตนให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน ตามแนวทางวินัยตำรวจ อุดมคติตำรวจ และจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในหน้าที่<br /><br /><br />5<br />สล.5 การสั่งสมความเชี่ยวชาญในอาชีพ<br />-ความสามารถ ทักษะในการเรียนรู้ ความใส่ใจในการรวบรวม เรียบเรียง วิเคราะห์ หรือแสวงหาความรู้ วิธีการใหม่ เพื่อปรับปรุงสั่งสมความชำนาญในงานตำรวจที่ปฏิบัติ<br />ระดับ 1.ชอบปฏิเสธ บ่ายเบี่ยงการทำงานแบบใหม่ ๆ หรืองานใหม่ ไม่ชอบการฝึกอบรม เมื่อไปฝึกอบรมมาแล้ว ไม่นำมาใช้ในการทำงาน หรือถ่ายทอด<br />ระดับ 2.ทำงานแบบเดิม ปรับปรุงการทำงานด้วยตนเองไม่ได้ แต่เมื่อมีผู้บังคับบัญชาหรือมีผู้แนะนำ สามารถปรับเปลี่ยนตามคำแนะนำได้<br />ระดับ 3.ปรับเปลี่ยนพัฒนา สั่งสมความชำนาญ จัดการองค์ความรู้ ด้วยตนเองได้<br />ระดับ 4 พัฒนาวิธีการทำงานได้ หมั่นศึกษาหาทางพัฒนาการทำงานใหม่ ๆ จนเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นได้ หรือเป็นพัฒนาองค์ความรู้ได้<br />ระดับ 5 เป็นผู้นำปรับปรุงงานและยอมรับการปรับปรุงงานจากความหลากหลายของทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ของผู้อื่น หรือของกลุ่มได้ดี และถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-18720209245840299282009-04-27T09:44:00.000-07:002009-04-27T09:45:53.991-07:00สมรรถนะตำรวจสายอำนวยการและผู้บริหาร ภ.7คำอธิบายสมรรถนะเฉพาะตำแหน่งการบริหารงานและการเป็นผู้นำและระดับพฤติกรรม<br />(Competency Indicators)<br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ-ระดับ 3,4และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3หรือ4ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />1.<br />สน.1.1 ทักษะทางคอมพิวเตอร์<br />-ทักษะในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์การใช้โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมหรือค้นหาข้อมูล การเรียบเรียงข้อมูล การวิเคราะห์ และการรายงานผล หรือนำเสนอข้อมูล<br />ระดับ 1 ไม่สนใจเรียนรู้วิทยาการคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เลย และไม่สามารถสั่งงาน ตรวจสอบงาน หรือมอบหมายงานให้เสมียน หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ได้<br />ระดับ 2 เรียนรู้ขีดความสามารถ ศักยภาพของคอมพิวเตอร์ ว่าสามารถนำมาประยุกต์ในงานที่ตนรับผิดชอบได้อย่างไรบ้าง และสั่งการให้เสมียน หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ทำงานโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้บ้าง<br />ระดับ 3 สามารถใช้โปรแกรมประยุกต์เบื้องต้นได้ เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ โปรแกรมนำเสนอผลงาน หรือโปรแกรมฐานข้อมูล หรือ มีความเข้าใจ และสามารถสั่งงานให้เสมียนหรือผู้รับผิดชอบ ใช้โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ใช้กับงานในหน้าที่ได้ หรือสามารถใช้งานเรียกใช้ข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วย(Intranet)ได้ (เรียกดูฐานข้อมูลหรือส่งข่าวสารใน E-Cop ได้)<br />ระดับ 4 สามารถใช้โปรแกรมในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้ เรียกใช้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ทได้ เช่น เรียกใช้ข้อมูลสถิติคดีอาญา หรือสถิติคดีจราจร และแนะนำให้ผู้ร่วมงานใช้Intranet หรือ E-cop ได้<br />ระดับ 5 สามารถออกแบบระบบ ฐานข้อมูล หรือการเชื่อมโยงเครือข่าย ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือประยุกต์ใช้กับงานในหน้าที่ได้ และสามารถแนะนำผู้ร่วมงานให้ใช้งานได้<br /><br />2<br />สน.1.2 ทักษะด้านภาษาและสื่อสาร<br />1.ความสามารถในการสื่อสารด้วยวาจา ภาษากายหรือกริยาอาการ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับเหตุการณ์ที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ ในการพบปะกับประชาชน หรือเผชิญเหตุ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจ<br />2.การสื่อสารที่ไม่ทำให้ผู้พบปะตำรวจเจ็บใจ เกิดภาพลบต่อตำรวจ<br />ระดับ 1 มักพูดโดยไม่ยั้งคิด พูดออกไปแล้ว ทำให้ผู้รับฟังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่มีประเด็นชัดเจน ใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบ่อย พูดข้อความที่ไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ หรือทำให้ประชาชนเจ็บใจ เช่น “ของตัวเองหาย ตัวเองยังคุ้มครองไม่ได้ จะให้ตำรวจตามหาให้ได้อย่างไร” หรือ “สมแล้วที่รถหาย”<br />ระดับ 2 ใช้คำพูดเหมาะสมกับเหตุการณ์ ที่ตำรวจประสบเหตุ เหมาะกาละเทศะ ไม่พูดให้ประชาชนเจ็บใจ หรือคิดทำนองตำรวจจะหาผลประโยชน์ เช่น จะออกใบสั่งความผิดจราจร ไม่ใช้เวลานานในการพูดอ้อมค้อม อธิบายข้อหา ความผิด แจ้งสิทธิชัดเจน ด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร<br />ระดับ 3 พูดตรงประเด็นชัดเจน ใช้ภาษาที่คนฟังต้องการ หรือผู้ฟังฟังแล้วบรรเทาอารมณ์ดีขึ้น และสามารถใช้คำพูดโน้มน้าวให้ผู้อื่น เห็นคล้อยตามได้ รับรู้อารมณ์ผู้ฟัง แล้วแก้ไขการพูด การปฏิบัติได้ดี<br />ระดับ 4 .ใช้ภาษาถิ่น หรือภาษาต่างประเทศ หรือวิธีการพูด เพื่อพูดให้ผู้รับฟังมีความไว้วางใจ ในความจริงใจที่จะพูดคุย เจรจาต่อรองได้ดี มีกริยาที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ พูดแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้ลดลงได้<br />ระดับ 5 มีศักยภาพในการสอน แนะนำ จูงใจให้เพื่อนร่วมงาน ใช้การพูด การปฏิสัมพันธ์กับประชาชนในหน้าที่ตำรวจ ได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ เป็นตัวอย่างแก่ตำรวจหน่วยอื่นได้<br /><br />3<br />สน.1.3 ทักษะงานอำนวยการและการจัดการ<br />-ความสามารถในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายได้ โดยให้ผู้อื่นทำงานแทนให้มากที่สุด ด้วยทุนหรือทรัพยากรที่เหมาะสม<br />ระดับ 1. รอรับคำสั่ง เพื่อทำงานตามคำสั่งเท่านั้น ร่างโต้ตอบหนังสือไม่ได้หรือไม่ตรงประเด็น ไม่มี ทักษะในการเขียนรายงานหรือทำข้อเสนอหรือมีความเห็นใด ๆ ได้ ทำงานให้พ้นไปวัน ๆ ไร้จุดหมาย<br />ระดับ 2. ร่างโต้ตอบหนังสือได้ มีทักษะการจับเก็บข้อมูลเป็นเอกสาร พัฒนาสั่งสมความรู้ เกี่ยวกับระเบียบ ข้อบังคับในสายงานที่ตนเองปฏิบัติได้<br />ระดับ 3 ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลอิเลคโทรนิคส์ ตาม ระเบียบงานสารบรรณได้ กำหนดแผนงาน เป้าหมาย วิธีการทำงาน และประเมินผลงานได้<br />ระดับ 4 สามารถวางระบบการทำงาน หรือออกคำสั่ง หรือแผนปฏิบัติการ หรือระเบียบปฏิบัติประจำ (รปจ.)และ แนะนำให้ผู้อื่นทำแทนตนได้อย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีระบบการควบคุมผลงานให้เป็นไปตามเป้าหมายได้<br />ระดับ 5 ผลการทำงานในการอำนวยการ จัดการประสบผลสำเร็จ สามารถแนะนำ หรือเป็นตัวอย่าง เพื่อนร่วมงาน หรือหน่วยงานอื่นได้ รวมทั้งมีศักยภาพในการบรรยาย ให้ความรู้ในงานที่ตนรับผิดชอบแก่เพื่อนร่วมงานและหน่วยอื่นได้<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />4<br />สน.1.4 สมรรถนะทางกายและอารมณ์<br />1.ความสามารถทางร่างกาย หรือทางกายภาพ ที่จะทำงานต่าง ๆ ได้ภายใต้ภาวะเสี่ยงภัย ฉุกเฉิน ตรากตรำหรือกดดัน<br />2.ความสามารถทางอารมณ์ เมื่อมีเหตุการณ์ หรือเงื่อนไขความกดดันต่าง ๆ ข้าราชการตำรวจจะตอบสนองอย่างไร<br />3.ความเหมาะสมของบุคลิกภาพและอารมณ์ ต่อตำแหน่ง หน้าที่ที่ปฏิบัติ<br />ระดับ1 มีดัชนีมวลกายอ้วนเกินกว่าเกณฑ์กำหนด ความฉลาดทางอารมณ์ไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่ต้องทำงานเสมอ หรือมีความฉลาดทางอารมณ์หรือขีดความสามารถในการปรับตัวน้อย ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ได้ผลคะแนนน้อยกว่าเกณฑ์<br />ระดับ 2 มีดัชนีมวลกาย ไม่เกินกว่าเกณฑ์กำหนด มีความฉลาดทางอารมณ์เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่โกรธ หรือฉุนเฉียวง่าย ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ได้ผลคะแนนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด<br />ระดับ 3 ทดสอบสมรรถภาพทางกายได้ผลคะแนนดี เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อไม่พอใจสิ่งใด อาจแสดงความไม่พอใจบ้าง แต่จะไม่ละทิ้งหน้าที่<br />ระดับ 4 ผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายดีมาก เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อมีสิ่งที่ไม่พอใจ จะมีความอดทนอดกลั้น ไม่แสดงออก และสามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 5 ผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายดีเลิศ เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เป็นผู้มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม ในการปฏิบัติหน้าที่ได้แม้ว่าจะมีภาวะกดดันต่าง ๆ สามารถเป็นแบบอย่างให้แก่เพื่อนร่วมงานได้<br /><br />5<br />สน.1.5 ภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์<br />1.ความสามารถในการนำผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานหรือหน่วยงาน ให้ทำงานสำเร็จตามพันธกิจ หรืองานที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ<br />2. มีแนวคิดและการปฏิบัติเพื่อการปรับตัว ให้รับกับปัญหา หรือสภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี<br /><br />ระดับ 1 ชอบวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น แต่จะไม่ชอบทำงานดังกล่าว หรือคิดจะทำ หากทำงานใดสำเร็จ จะอ้างว่าเป็นความสามารถของตนคนเดียว ไม่ชอบที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดหรือวิธีทำงาน<br />ระดับ 2 พยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง จูงใจให้ผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมใจทำงานได้บรรลุเป้าหมาย ไม่ต่อต้านหากจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น<br />ระดับ 3 มีความสามารถในการจูงใจให้สมาชิกในกลุ่ม ผู้ร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้ มีความสามารถในการคิดหาการทำงาน หรือปรับสภาพหน่วยงาน เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้<br />ระดับ 4 มีความสามารถในการจูงใจให้สมาชิกในกลุ่ม ผู้ร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้ดี หน่วยมีความสามัคคีกลมเกลียวสูง เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคต ได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 5 เป็นแบบอย่างให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ในการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของหน่วยในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้ดีในปัจจุบัน และเตรียมพร้อมหน่วย และตำรวจในหน่วยให้มีความพร้อมในการรับกับปัญหาในอนาคตได้ จนเป็นแบบอย่างให้แก่หน่วยอื่นPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-24005704053910393472009-04-27T09:42:00.000-07:002009-04-27T09:44:13.948-07:00สมรรถนะตำรวจสายสอบสวน ภ.7คำอธิบายสมรรถนะเฉพาะตำแหน่งสอบสวนและระดับพฤติกรรม<br />(Competency Indicators)<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />1<br />สน. 4.1 ทักษะการตรวจสถานที่เกิดเหตุ<br />ความสามารถในการระวังป้องกันในที่เกิดเหตุ การจัดการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุ<br />ระดับ 1 ปิดล้อมที่เกิดเหตุได้ ไม่ไปทำให้สถานที่เกิดเหตุถูกลบร่องรอยหรือพยานหลักฐานเสียหาย<br />ระดับ 2 เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ โดยมีเครื่องช่วยป้องกันไม่ให้สถานที่เกิดเหตุเสียหาย เช่น ถุงมือ มีขั้นตอนและการประเมินภาวะอันตรายในการเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ เก็บพยานวัตถุและพยานเอกสารในที่เกิดเหตุได้ถูกต้องตามหลักการตรวจสถานที่เกิดเหตุ<br />ระดับ 3 เก็บลายพิมพ์นิ้วมือแฝงโดยระบบปัดฝุ่นและระบบซุปเปอร์กลู เก็บพยานวัตถุ ชิ้นส่วนร่างกาย หรือคราบเลือดเพื่อพิสูจน์ DNA ได้<br />ระดับ 4 เก็บพยานวัตถุร่องรอยสารเคมีจากมือผู้ใช้ยิงอาวุธปืนได้ หล่อร่องรอยหรือเก็บพยานรอยพิมพ์ (Toolmark) จากพยานวัตถุได้<br />ระดับ 5 เป็นครูฝึกหรือเป็นวิทยากรฝึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ให้แก่ข้าราชการตำรวจได้ตามหลักวิชา<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />- 2 -<br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />2<br />สน. 4.2 ความรู้กฎหมายและการสอบสวน<br />- มีความรู้และความสามารถในการประยุกต์ใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานตำรวจให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ตั้งข้อหาหรือกำหนดข้อกล่าวหาได้<br />ระดับ 1 สามารถอธิบายการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ถูกและผิดกฎหมายได้ในการปฏิบัติงาน<br />ระดับ 2 มีความสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้องตามกฎหมายในเรื่องการตรวจค้น จับกุม การใช้อาวุธหรือกำลังตามหลักสิทธิมนุษยชน<br />ระดับ 3 มีความสามารถในการเขียนข้อหาในบันทึกจับกุมในใบสั่งจราจรได้ถูกต้อง และอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ดี<br />ระดับ 4 มีความเข้าใจกฎหมายเป็นอย่างดี สามารถมีข้อคิดเห็นหรือเสนอแนะในการพัฒนาหรือแก้ไขงานของตำรวจได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 5 มีทักษะเป็นครูฝึกหรือวิทยากรการฝึกอบรมเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในงานหน้าที่ของตำรวจได้เป็นอย่างดี<br /><br />3<br />สน. 4.3 ทักษะการทำบันทึกและสำนวนการสอบสวน<br />1. มีความสามารถในการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ หรือจัดทำรายงาน และรวบรวมรายงาน ทำเป็นสำนวนได้<br />2. ความสามารถในการทำสำนวนการสอบสวนคดีอาญา และคดีสอบสวนสืบสวนข้อเท็จจริง<br />ระดับ 1 มีความสามารถเขียนรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้<br />ระดับ 2 สามารถทำบันทึกเหตุการณ์แล้วนำมาประกอบเรื่องราวเป็นสำนวนการสืบสวนเหตุต่าง ๆ ได้ รวมถึงการทำบันทึกเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาได้ดี<br /><br /><br />- 3 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br /><br /><br /><br />ระดับ 3 มีความสามารถทำสำนวนการสืบสวนคดี การสืบสวนคดีข้อเท็จจริงหรือสอบข้อเท็จจริง และทำสำนวนคดีอาญาในความผิดพื้นฐานได้<br />ระดับ 4 ทำสำนวนการสอบสวนคดีอาญาความผิดที่เป็นความพิเศษต่าง ๆ ได้ เช่น กฎหมายที่ดินหรือป่าไม้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ คดีวิสามัญฆาตกรรม<br />ระดับ 5 มีความเชี่ยวชาญหรือเป็นพนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ในระดับจังหวัดที่ผู้บังคับบัญชาและหน่วยงานอื่นยอมรับ<br /><br />4<br />สน. 4.4 ความรู้การช่วยเหลืออาชญากรรมและพยาน<br />- ความรู้ความสามารถในการให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์ ให้ผู้เสียหาย พยาน ผู้ได้รับผลกระทบต่อการกระทำผิดอาชญากรรมได้รับการเยียวยาชดใช้ทรัพย์สิน รวมถึงมีความปลอดภัยในชีวิตและจิตใจ สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติสุข รวมถึงการดูแลในการดำเนินคดีในชั้นอัยการและศาล<br />ระดับ 1 แนะนำช่วยเหลือผู้เสียหายเฉพาะเมื่อมาแจ้งความหรือร้องทุกข์ ปล่อยให้ผู้เสียหายไปสถานพยาบาลหรือนำหมายเรียกไปแจ้งคนร้ายเอง <br />ระดับ 2 อธิบายถึงสิทธิของผู้เสียหาย และพยานตามกฎหมายและหลักปฏิญญาสากล และส่งต่อหรือแนะนำให้หน่วยงานอื่นช่วยเหลือ เยียวยา หรือสงเคราะห์ผู้อื่นได้<br />ระดับ 3 มีความสามารถในการทำเรื่องขอรับเงินค่าตอบแทนผู้เสียหาย จ่ายเงินค่าตอบแทนพยาน ส่ง<br /><br /><br />- 4 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br /><br /><br /><br />ผู้เสียหายไปยังหน่วยงานรับสงเคราะห์อื่น จัดการดูแลเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อคดีไปสู่อัยการและศาล การแจ้งเตือนดูแลความปลอดภัยของผู้เสียหายและพยาน การดูแลพยานและผู้เสียหายจนเสร็จสิ้นหรือกลับเข้าไปใช้ชีวิตในชุมชนได้อย่างปกติสุข สามารถแจ้งผู้เสียหายเรื่องการปล่อยคนร้ายจากการควบคุมทุกระยะก่อน-หลังคดีเสร็จสิ้น<br />ระดับ 4 ประชาชนในพื้นที่ให้การยกย่องว่าเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ไม่เฉพาะการแจ้งความร้องทุกข์หรือการจับคนร้ายเท่านั้น<br />ระดับ 5 เป็นตัวแบบให้แก่เพื่อนตำรวจในการเป็นที่พึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรม ทั้งตามที่สิทธิในกฎหมายกำหนด และด้วยความสมัครใจที่จะช่วยเหลือความเดือดร้อนของประชาชนเสมือนญาติ<br /><br />5<br />สน. 4.5 ความรู้นิติวิทยาศาสตร์และวิทยาการตำรวจ<br />- ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพื่อมาพิสูจน์ความผิดหรือเก็งตัวคนร้าย (Profiling)<br />ระดับ 1 มีความรู้ทางนิติวิทยาศาสตร์จากมสื่อมวลชน ไม่เคยได้ศึกษาหรือฝึกหัดปฏิบัติ<br />ระดับ 2 สามารถอธิบายว่าพยานวัตถุใดสามารถตรวจยืนยันทางวิทยาศาสตร์ใดได้บ้าง ในคดีเกี่ยวกับชีวิตร่างกายหรือคดีฆาตกรรม<br /><br /><br /><br />- 5 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br /><br /><br /><br />ระดับ 3 สามารถวางแผนหรืออธิบายการตรวจพยานวัตถุ โดยมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิทยาการตำรวจ และนิติวิทยาศาสตร์ สาขาต่าง ๆ เช่น ลายพิมพ์นิ้วมือ แผนประทุษกรรม พยานเอกสารทางเคมี วัสดุศาสตร์ ชีววิทยา กีฏวิทยา (Entomology) <br />ระดับ 4 มีความชำนาญหรือมีประสบการณ์ สามารถวางแผนหรือเสนอแนะชี้นำเกี่ยวกับการใช้พยานวัตถุ นิติวิทยาศาสตร์ งานวิทยาการตำรวจ เพื่อการสืบสวนและใช้เป็นพยานหลักฐานลงโทษผู้กระทำความผิดได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 5 มีความเชี่ยวชาญเป็นวิทยากรหรือเป็นที่ยอมรับในหน่วยและนอกหน่วยงานเกี่ยวกับการใช้พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หรืองานวิทยาการตำรวจในการสืบสวนเก็งตัวคนร้าย เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-79474652206267886602009-04-27T09:40:00.000-07:002009-04-27T09:42:01.745-07:00สมรรถนะตำรวจสืบสวน ภ.7คำอธิบายสมรรถนะเฉพาะตำแหน่งสืบสวนและระดับพฤติกรรม<br />(Competency Indicators)<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />1<br />สน.3.1 ทักษะสังเกต จดจำ เฝ้าจุด สะกดรอย ซักถาม<br />- ความสามารถ ความอดทนตรากตรำและเชาว์ไว ไหวพริบ ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับงานสืบสวนในสนามในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ<br />ระดับ1 ปฏิบัติงานสืบสวนตามคำสั่ง ได้ในระยะสั่น ๆที่มอบหมาย ประสบผลสำเร็จบ้าง แต่ต้องมีการตรวจสอบ กำกับดูแล ใกล้ชิด<br />ระดับ 2 ปฏิบัติงานสืบสวนตามคำสั่ง และมีปฏิภาณ ไหวพริบสังเกต ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีความตั้งใจให้ได้ข่าวสารหรือผลตามที่ได้รับมอบหมาย มีทักษะการซักถามพยานบุคคล<br />ระดับ 3 ปฏิบัติงานสืบสวนตามคำสั่ง และมีปฏิภาณ ไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี มีทักษะการซักถามพยานบุคคลตรงประเด็น เขียนรายงานได้ตามเวลา<br />ระดับ 4 มีความอดทนในการปฏิบัติงานสืบสวนที่ตรากตรำเสี่ยงอันตรายได้ดีเยี่ยม มีทักษะสูงในการ สัมภาษณ์ซักถามพยานแล้วมักให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี<br />ระดับ 5 มีทักษะในการปฏิบัติหน้าที่สืบสวนสูง มีจิตวิทยาในการสัมภาษณ์ซักถามพยาน และสามารถเป็นวิทยากรหรือเป็นผู้ฝึกหัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานในการพัฒนาทักษะสืบสวนได้<br /><br /><br /><br />- 2 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />2<br />สน. 3.2 ทักษะการสืบสวนด้วยเครื่องมือพิเศษ<br />- ความสามารถในการปรับใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยในการหาข่าว รวบรวมข่าว รวบรวมพยานหลักฐาน<br />ระดับ1 มีทักษะการใช้เครื่องมือสื่อสาร เครื่องบันทึกพยานหลักฐาน หรืออุปกรณ์เฝ้าฟังในระดับของประชาชนทั่วไป<br />ระดับ 2 มีทักษะการใช้เครื่องมือสื่อสาร เครื่องบันทึกพยานหลักฐาน หรืออุปกรณ์เฝ้าฟังในระดับที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในการหาข่าว รายงานข่าว รวบรวมพยานหลักฐานได้ดีกว่าประชาชนทั่วไป<br />ระดับ 3 มีทักษะการพัฒนาใช้เครื่องมือสื่อสาร เครื่องบันทึกพยานหลักฐาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆในระดับที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในการหาข่าว รายงานข่าว รวบรวมพยานหลักฐานได้<br />ระดับ 4 มีทักษะการพัฒนาใช้เครื่องมือสื่อสาร เครื่องบันทึกพยานหลักฐาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ<br />ในระดับที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในการหาข่าว รายงานข่าว รวบรวมพยานหลักฐานได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 5 เป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบพัฒนา หรือปรับใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการสืบสวน ที่เป็นประโยชน์เหมาะกับการใช้งานสืบสวนแต่ละกรณีได้เป็นอย่างดี<br /><br />- 3 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />3<br />สน. 3.3 ความรู้ระบบฐานข้อมูลและการจัดการองค์ความรู้<br />- ความรู้และความสามารถในการนำเรื่องราวที่ได้สืบสวนมารวบรวม เรียบเรียง มาวิเคราะห์ แสดงผลได้เป็นระบบ และสามารถเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไปได้<br />ระดับ 1 จัดทำสมุดภาพคนร้าย<br />สารบบงาน ทะเบียนประวัติอาชญากร และฐานข้อมูล โดยทำแฟ้มเอกสารได้<br />ระดับ 2 ทำบันทึกรายงานการสืบสวน ทำสำนวนการสืบสวน บันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลอิเล็คทรอนิคส์ หรือเรียกดูข้อมูลจากฐานข้อมูลอิเล็คทรอนิคส์ได้<br />ระดับ 3 สามารถออกแบบระบบฐานข้อมูลการข่าว มีทักษะการควบคุมแหล่งข่าว การจัดระเบียบองค์ความรู้ สามารถหาแหล่งความรู้เพื่อการสืบสวนได้ สามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางด้านการสืบสวนได้ เช่น โปรแกรมความเชื่อมโยงของเครือข่ายคนร้าย (Link Notebook)<br />ระดับ 4 มีความเชี่ยวชาญในการเชื่อมโยง ตรวจสอบ ข้อมูลจากฐานข้อมูลของส่วนราชการอื่นหรือหน่วยงานเอกชนอื่น เพื่อใช้ในการสืบสวนได้<br />ระดับ 5 มีทักษะในการเป็นครูฝึกหรือผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับฐานข้อมูลและโปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับการสืบสวน<br /><br /><br /><br />- 4 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />4<br />สน. 3.4 ความรู้ด้านการบริหารการสืบสวน<br />- ความรู้เกี่ยวกับงานสืบสวน งานการข่าวกรอง เพื่อให้ได้ข่าวสาร พยานหลักฐาน และการบริหารงานงานสืบสวน<br />ระดับ1 สืบสวนตามที่ได้รับคำสั่ง หรือหาข่าวได้ตามที่ได้รับหัวข้อข่าวสารสำคัญเท่านั้น ไม่มีแนวความคิดหรือการวางแผนรูปแบบเค้าโครงของคดี<br />ระดับ 2 มีความสามารถในการกำหนดประเด็นการสืบสวน และวางแผนเค้าโครงการสืบสวน และจะหาพยานหลักฐานจากที่ใดได้<br />ระดับ 3 สามารถมีแนวคิดในการกำหนดประเด็นการสืบสวน และวางแผนเค้าโครงการสืบสวน มีความสามารถในการหาพยานหลักฐานเพื่อมาสนับสนุนข้อสันนิษฐาน แนวทางสืบสวนได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 4 มีความรู้ในการสืบสวนกว้างขวาง สามารถอธิบาย บทเรียนการสืบสวนที่ผ่านมา แล้วนำมาปรับประยุกต์ใช้ในการวางแผน และบริการการสืบสวนได้เป็นผลสำเร็จเสมอ<br />ระดับ 5 มีศักยภาพในการเป็นวิทยากร หรือฝึกฝนให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ร่วมมือ มีความสามารถในการบริหารการสืบสวน<br /><br /><br /><br />- 5 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ-ระดับ 3,4และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3หรือ4ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />5<br />สน. 3.5 ความรู้การวิเคราะห์อาชญากรรม<br />- ความรู้ในการวิเคราะห์หาความเชื่อมโยงของคนร้าย หรือการเกิดเหตุคดีที่เกิดขึ้น (Crime Matching) ในระดับแผนประทุษกรรม(Tactical Crime Analysis)หรือ ความเชื่อมโยงทางเครือข่าย หรือองค์กรอาชญากรรม(Intelligence Crime Analysis) หรือพฤติกรรมของคนร้าย (Criminal Investigation Analysis) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการสืบสวนจับกุมคนร้าย<br />ระดับ1 สืบสวนได้เป็นรายคดี ไม่มีความคิดหรือแนวทางในการ จัดระบบ ระเบียบในการเทียบเคียง หาความเชื่อมโยงระหว่างคดีที่เกิดขึ้น หรือคนร้ายได้<br />ระดับ 2 หาความเชื่อมโยงคดีที่เกิดขึ้น หรือคนร้ายที่ก่อเหตุ ได้อย่างมีเหตุมีผลเสมอโดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน<br />ระดับ 3 มีการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้เป็นระบบ สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ผู้อื่นได้ในการหาความเชื่อมโยง เหตุที่เกิด หรือคนร้ายได้อย่างดี<br />ระดับ 4 มีการเก็บข้อมูลไว้เป็นระบบ ในสารบบที่เป็นสากล หรือทันสมัย เช่นฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ สามารถเรียกใช้ มาสนับสนุนงานสืบสวน วิเคราะห์หาความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ หรือคนร้ายได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 5 มีการวิเคราะห์อาชญากรรม และกรรมวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การใช้ประโยชน์ข้อมูลแก่หน่วย และหน่วยข้างเคียงจนเป็นที่ยอมรับ โดยหน่วยข้างเคียงมาขอใช้ประโยชน์จากข้อมูล หรือการวิเคราะห์Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-46806506976616033282009-04-27T09:38:00.002-07:002009-04-27T09:39:42.534-07:00สมรรถนะตำรวจจราจร ภ.7คำอธิบายสมรรถนะเฉพาะตำแหน่งจราจรและระดับพฤติกรรม<br />(Competency Indicators)<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />1<br />สน. 5.1 ทักษะการให้สัญญาณและการจัดการจราจร<br />- ความสามารถในการให้สัญญาณจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 24 และจัดการจราจร<br />ระดับ 1 ให้สัญญาณมือและนกหวีดจัดการจราจรบนถนนที่ไม่มีการจราจรคับคั่งได้ถูกต้องตามแบบ<br />ระดับ 2 ให้สัญญาณมือและนกหวีดจัดการจราจรเมื่อมีอุบัติเหตุจราจร<br />ระดับ 3 ให้สัญญาณมือและนกหวีดในสี่แยกที่มีการจราจรคับคั่ง ในกรณีที่สัญญาณไฟขัดข้อง<br />ระดับ 4 จัดการจราจรในพื้นที่คับคั่งของการจราจรได้เป็นอย่างดี มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนจนได้รับคำชม<br />ระดับ 5 เป็นครูฝึกหรือพัฒนางานจัดการจราจรได้ผลเป็นที่พอใจหรือยอมรับของหน่วยงานทั่วไป<br /><br />2<br />สน. 5.2 ความรู้กฎหมายจราจรขนส่งและรถยนต์<br />- มีความรู้สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติและความผิดเกี่ยวกับการจราจรได้อย่างพอใจ<br />ระดับ 1 เข้าใจข้อหาที่เขียนลงในใบสั่งหรือบันทึกจับกุมได้เท่านั้น<br />ระดับ 2 สามารถอธิบายข้อหาหรือความผิดในใบสั่งหรือบันทึกจับกุมได้เป็นอย่างดี<br />ระดับ 3 มีความรู้เสนอแนะเกี่ยวกับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร, พ.ร.บ.รถยนต์, พ.ร.บ.ขนส่ง<br />ระดับ 4 มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาการจราจรและขนส่ง โดยใช้กฎหมายเป็นแนวทางจนได้ผลดี<br /><br />- 2 -<br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br /><br /><br /><br />ระดับ 5 มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายจราจร, รถยนต์, ขนส่ง จนสามารถเสนอแนะแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายได้ อีกทั้งเป็นวิทยากรบรรยายให้แก่หน่วยงานปละประชาชนได้<br /><br /><br />3<br />สน. 5.3 ทักษะการจัดการเหตุวิกฤติและเหตุฉุกเฉิน<br />- มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเหตุเร่งด่วนฉุกเฉิน อันตรายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์และภัยพิบัติในเบื้องต้นได้ เพื่อการช่วยเหลือให้ประชาชนปลอดภัย<br />ระดับ 1 เข้าใจแผนการปฏิบัติในการเผชิญเหตุวิกฤติของหน่วย เช่น ไฟไหม้ อุบัติเหตุขนาดใหญ่ การจัดการเหตุระเบิด การช่วยเหลือตัวประกัน การช่วยเหลือผู้ฆ่าตัวตาย การเกิดอุบัติเหตุ สารเคมีตกหล่น<br />ระดับ 2 มีทักษะในการปฏิบัติตามแผนการเผชิญเหตุวิกฤติ<br />ระดับ 3 สามารถแนะนำเพื่อนร่วมงานหรืออาสาสมัคร หรือหน่วยงานอื่นได้ เช่น หน่วยดับเพลิง รถพยาบาล ในการแก้ไขเหตุวิกฤติได้<br />ระดับ 4 มีทักษะในการเข้าแก้ไขเหตุปัญหาวิกฤติต่าง ๆ ด้วยตนเอง ได้ผลดีมาแล้ว และมีแนวทางในการพัฒนาวิธีปฏิบัติและเสนอวิธีแก้ไขแผนเผชิญเหตุของ สภ.<br />ระดับ 5 มีทักษะการเป็นวิทยากรในการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุต่าง ๆ ของ สภ. เช่น แผนเผชิญเหตุระเบิด แผนเผชิญเหตุจับตัวประกัน แผนเผชิญเหตุแผ่นดินไหว ไฟไหม้ ตึกถล่ม<br /><br />- 3 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br />4<br />สน. 5.4 ทักษะการประชาสัมพันธ์<br />- ความสามารถในการทำความเข้าใจกับประชาชน โดยตำรวจ ทำให้มองภาพลักษณ์ของตำรวจไม่เสื่อมเสีย<br />ระดับ 1 ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอย่างเดียว โดยไม่พูดคุยทำความเข้าใจหรือปฏิบัติตน ให้ประชาชนเชื่อถือศรัทธา<br />ระดับ 2 มีการพบปะพูดคุยหรือปฏิบัติตนให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเชื่อถือศรัทธาตำรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ<br />ระดับ 3 มีการพบปะพูดคุยหรือปฏิบัติตนให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเชื่อถือศรัทธาตำรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้ผลดี<br />ระดับ 4 เป็นตัวอย่างในการเผยแพร่หรือสร้างความเข้าใจระหว่างตำรวจกับประชาชนจนเป็นที่ยอมรับในหน่วยงานและพื้นที่<br />ระดับ 5 เป็นครูฝึกหรือวิทยากรชักนำข้าราชการตำรวจให้ใช้หลักการประชาสัมพันธ์ผลงานให้ประชาชนในพื้นที่เชื่อถือศรัทธา<br /><br />5<br />สน. 5.5 ทักษะการใช้อุปกรณ์ควบคุมและบังคับใช้กฎหมายจราจร<br />- ความสามารถในการใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายจราจรหรือการควบคุมจราจรในพื้นที่ได้<br />ระดับ 1 มีความสามารถในการใช้อุปกรณ์ไฟวับวาบ ได้<br />ระดับ 2 มีความสามารถในการใช้เปิดปิดสัญญาณไฟจราจรได้ โดยสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการจราจร และใช้เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์จากลมหายใจได้<br /><br /><br />- 4 -<br /><br />ลำดับ<br />ชื่อสมรรถนะ<br />นิยามหรือคำอธิบาย<br />ระดับพฤติกรรม<br />หมายเหตุ - ระดับ 3,4 และ 5 ต้องประกอบด้วยพฤติกรรมระดับก่อนด้วย(ระดับ 2,3 หรือ 4 ตามลำดับ)<br />เอกสาร คู่มือ ตำราอ้างอิง<br /><br /><br /><br />ระดับ 3 มีความสามารถในการเรียนรู้ หรือใช้อุปกรณ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เช่น เครื่องตรวจจับความเร็ว<br />ระดับ 4 มีทักษะในการเรียนรู้อุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมจราจรได้อย่างรวดเร็ว เช่น กล้องวีดีโอตรวจสภาพการจราจร<br />ระดับ 5 สามารถเป็นครูฝึกในการแนะนำวิธีการจัดการจราจรให้แก่ข้าราชการตำรวจและอาสาจราจรได้เป็นอย่างดีPol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9216457019643689013.post-84104754395397210992009-04-27T09:38:00.001-07:002009-04-27T09:38:28.088-07:00Pol.Col.Narong Sapyenhttp://www.blogger.com/profile/06188119805646938632noreply@blogger.com0